สำหรับในตอนที่ 4 นี้เรามาพูดกันในเรื่องของค่ากลางหรือ
Midpoint กันต่อเลยดังนี้ครับ
Midpoint-MP ค่ากลาง
ค่ากลางคืออะไร?
ค่ากลางก็คือค่าที่อยู่กึ่งกลางกระบอกเงินเดือนน่ะสิครับ
ตอบซะแบบกำปั้นทุบดินกันไปเลย ;-)
สูตรการหาค่ากลางง่าย ๆ
ก็คือ Max+Min หาร 2
เช่นตามตัวอย่างข้างบน
ค่ากลาง=24,000+12,000 หาร 2 = 18,000 บาท
อย่างที่ผมบอกไว้ตอนต้นแหละครับว่า หลักการออกแบบโครงสร้างเงินเดือนเราควรจะออกแบบแต่ละกระบอกให้มีค่ากลางอยู่ประมาณใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ตลาดเขาจ่ายให้กับตำแหน่งต่าง
ๆ ใน Job
Grade นั้น ๆ ซึ่งคนทำโครงสร้างเงินเดือนจะต้องไป
Match
Job ให้ดี ๆ แล้วหาค่าเฉลี่ยของตลาดออกมาให้ได้ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
สำหรับบริษัท (ส่วนใหญ่ที่ผมเจอมา)
ฝ่ายบริหารก็มักจะมีนโยบายในการทำโครงสร้างเงินเดือนให้มีค่ากลางของแต่ละกระบอกเงินเดือนอยู่ประมาณค่าเฉลี่ยที่ตลาดเขาจ่ายกัน
เช่นในกรณีนี้สมมุติว่าค่ากลางของ Job Grade นี้เท่ากับ 18,000 บาท ก็หมายความว่าตลาดเขาจ่ายเงินเดือน
(Base Salary) ให้กับตำแหน่งต่าง ๆ ที่อยู่ใน Job
Grade นี้ประมาณ 18,000 บาทครับ
อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าเฉลี่ยตลาดได้บ้างแต่ค่ากลางที่ออกแบบในแต่ละกระบอกก็มักอยู่ประมาณแถว
ๆ ค่าเฉลี่ยของตลาดนั่นแหละครับ
จึงพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า....
ค่ากลาง (Midpoint) เป็นค่าที่ยุติธรรมหรือเป็นค่าที่เสมอภาคและเป็นธรรมในการจ้างคนเข้ามาทำงานใน
Job Grade นี้ เพราะตลาดเขาก็จ่ายกันอยู่ประมาณนี้แหละ
ถ้าดูจากตัวอย่างข้างต้นก็คือใครก็ตามที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งใดใน
Job
Grade นี้แล้วได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 18,000 บาท
ก็หมายถึงคน ๆ นั้นทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่สมราคา
ในขณะที่บริษัทก็จ่ายเงินเดือนให้กับคน ๆ นี้อย่างยุติธรรมแล้วเช่นเดียวกัน
เพราะตลาดภายนอกโดยทั่ว ๆ ไปเขาก็จ่ายกันอยู่ประมาณ 18,000 บาท
เรียกว่าการจ่ายเงินเดือนที่ค่ากลางนั้น
ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง!!
เป็นราคาที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
หรือทางเศรษฐศาสตร์อาจจะเรียกว่าเป็น “ราคาดุลยภาพ” หรือ “Equilibrium
Price” ก็ได้ครับ
แล้วถ้าใครที่ได้รับเงินเดือนต่ำกว่าค่ากลางก็แปลว่าบริษัทเอาเปรียบเขาอยู่หรือเปล่า?
เช่นสมมุติตอนนี้มีพนักงานที่อยู่ในกระบอกเงินเดือนนี้รับเงินเดือนอยู่ที่
12,000
บาท ก็หมายถึงว่าพนักงานคนนี้อาจจะยังมีความรู้
ทักษะหรือมีประสบการณ์ในงานที่ทำยังไม่เท่ากับคนที่ได้เงินเดือน 18,000 บาท บริษัทก็เลยเห็นสมควรที่จะให้เงินเดือนที่ 12,000 บาท (เท่ากับ Min ใน Job Grade
นี้)
ซึ่งเมื่อพนักงานคนนี้พัฒนาตัวเองให้มีความรู้ความสามารถในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
มีผลงานที่ดีขึ้นมากขึ้นก็จะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนต่อไปได้เรื่อย ๆ
จนไปสูงสุดไม่เกิน 24,000 บาท
แม้ว่าพนักงานคนนี้จะได้รับเงินเดือน 12,000 บาทอยู่ก็จริง
แต่งานและความรับผิดชอบหรือค่างานในตำแหน่งที่พนักงานคนนี้ทำอยู่จะต้องรับผิดชอบเหมือนกับคนที่ได้เงินเดือน
24,000 บาทครับ
เพราะถือว่าทุกตำแหน่งในกระบอกเงินเดือนนี้อยู่ใน Job Grade ที่มีค่างานเดียวกัน
ดังนั้น
ถ้ามองในมุมนี้ก็จะดูเหมือนว่าบริษัทจะได้เปรียบพนักงานคนนี้อยู่เพราะใช้งานเขาเต็มที่เหมือนกับจ้าง
24,000
บาท แต่จ่ายเพียง 12,000 บาท
ซึ่งก็จะมีศัพท์เทคนิคเรียกการจ่ายแบบนี้ว่าบริษัทจ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนนี้
“ต่ำกว่า” ที่ตลาดเขาจ่ายกัน หรือ “Under Paid” ครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจ่ายต่ำมากจนเกินไปเพราะกรอบการจ่ายของตำแหน่งต่าง
ๆ ใน Job
Grade นี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท
ซึ่งก็หมายถึงในตลาดเขาก็จ่ายกันประมาณนี้เช่นเดียวกัน
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะไปจ้างให้คนทุกคนที่มาทำงานใน
Job
Grade นี้ได้เงินเดือนเท่ากันที่ Midpoint ใช่ไหมล่ะครับ?
เนื่องจาก Performance ของแต่ละคนไม่เท่ากันนี่นา
บางคนมีผลงานมีฝีมือมีความรู้ความสามารถมาก็อาจจะได้เงินเดือนสูงกว่าคนที่มีความรู้ความสามารถน้อยกว่าเป็นธรรมดาของการจ้างจริงไหมครับ
แต่บริษัทก็ไม่ได้จ้างแบบกดเงินเดือนต่ำจนพนักงานรับไม่ได้
ซึ่งนั่นก็คือการกำหนดอัตราจ้างต่ำสุดของ Job Grade นี้เพื่อรองรับเอาไว้ในที่นี้ก็คือ
Min เท่ากับ 12,000 บาทแล้วยังไงล่ะครับ
ถ้าบริษัทไหนไปจ้างใครที่ทำงานใน Job Grade นี้ต่ำกว่า Min
ก็แสดงว่าบริษัทนั้นไปเอาเปรียบเขามากจนเกินงามแล้วล่ะครับ
ในทางกลับกัน
ถ้าบริษัทจ้างพนักงานตำแหน่งใดก็ตามใน Job Grade นี้สูงกว่าค่ากลาง
เช่น จ้างอยู่ที่ 23,500 บาท ก็หมายถึงบริษัทจ่ายเงินเดือนให้แพงกว่าที่ตลาดเขาจ่ายกัน
ในขณะที่พนักงานคนนี้ทำงานให้กับบริษัทไม่คุ้มกับที่บริษัทจ่ายให้เขา
การจ่ายแพงกว่าที่ตลาดเขาจ่ายกันนี่ก็เรียกเป็นศัพท์เทคนิคว่า
“Over
Paid” หรือจ่ายแพงเกินไปครับ!
ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็คือพนักงานที่บริษัทจ่ายแบบ
Over
Paid ทำงานใน Job Grade นี้มานาน
ทำงานเหมือนเดิม ความรับผิดชอบเท่าเดิม แต่ไม่สามารถจะเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นไปอยู่ใน
Job Grade ที่สูงขึ้นต่อไปอีกได้
บริษัทก็จำเป็นที่จะต้องควบคุมเพดานเงินเดือนเอาไว้ไม่ให้สูงมากเกินไปในกรณีนี้คือเงินเดือนที่
Max เท่ากับ 24,000 บาท
แปลว่าพนักงานคนนี้จะได้รับการปรับฐานเงินเดือนขึ้นไปอีกได้ไม่เกิน
500 บาท ถ้าพนักงานไม่สามารถจะเลื่อนตำแหน่ง
เพิ่มงานและความรับผิดชอบให้ขึ้นไปอยู่ใน Job Grade ต่อไปได้ก็ต้องยอมรับว่าเงินเดือนของตัวเองจะต้องตัน!
เพราะค่าของงานใน Job Grade นี้มีอยู่เพียงเท่านี้เอง
ถ้ามองอย่างเป็นกลางมีใจเป็นธรรมไม่เข้าข้างตัวเอง
ลองคิดย้อนกลับมาว่าถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ
เราจะขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานที่ทำงานเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ
โดยที่พนักงานคนนั้นก็ทำงานแบบนี้มาหลายปีแล้วก็ยังทำอยู่แบบนั้น
ไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ทำงานได้มากขึ้น
มีความรู้ความสามารถที่จะรับผิดชอบงานที่มีค่างานสูงขึ้น
ไม่มีความเติบโตก้าวหน้าได้ต่อไป อยู่ในตำแหน่งไหนก็อยู่ในตำแหน่งนั้นไปเรื่อย ๆ
จนเกษียณ แต่บริษัทจะต้องปรับขึ้นเงินเดือนไปเรื่อย ๆ แบบ อันลิมิต (Unlimited) อย่างนี้บริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือน (และ Staff Cost อื่น ๆ ที่คิดจากฐานเงินเดือนเช่น ค่าล่วงเวลา, เงินสมทบ
Provident Fund, เงินสมทบประกันสังคม,
กองทุนเงินทดแทน) เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ และไม่รู้จะไปสิ้นสุดตรงไหน
แล้วถ้าพนักงานคนอื่น ๆ
เห็นแล้วเอาเป็นตัวอย่างทำแบบเดียวกัน
คือทำงานเหมือนเดิมไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรให้มากไปกว่านี้ แต่เรียกร้องให้ปรับขึ้นเงินเดือนไปเรื่อย
ๆ ทุกปีอย่างนี้บริษัทจะสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้หรือไม่ล่ะครับ
ในตอนนี้คงพูดได้เรื่องเดียวคือเรื่องของค่ากลางเพราะมีรายละเอียดพอสมควร
ส่วนในตอนที่ 5
เราค่อยมาว่ากันต่อนะครับ
..................................................