สวัสดีปีใหม่ 2556 ผู้อ่านทุกท่านครับ
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2556 เราก็จะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300
บาทเท่ากันทั่วทั้งประเทศ
แน่นอนว่าจะมีเสียงสะท้อนมาสองด้านเป็นธรรมดาของทุกอย่างในโลกนี้ที่จะมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ
คนที่ชอบก็คงไม่แคล้วกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
ก็แหงล่ะสิครับได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นใครไม่เอาล่ะ
นอกจากนี้ก็จะมีคนที่มองการปรับค่าขั้นต่ำครั้งนี้ว่าจะเกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรมทั่วประเทศเสียที
แถมยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้คึกคักรับปีมะเส็งอีกด้วย เพราะเมื่อผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น
มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นก็จะเกิดการหมุนเวียนของเงินหลายรอบมากขึ้นก็จะทำให้เศรษฐกิจภาพรวมดีขึ้นไปด้วย
นี่คือกลุ่มที่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้
ส่วนพวกที่ไม่เห็นด้วยก็แน่นอนครับว่าคือฝ่ายผู้ประกอบการหรือฝ่ายนายจ้าง
เพราะจะทำให้มีต้นทุนด้านบุคลากรหรือที่เรียกันว่า “Staff Cost” เพิ่มมากขึ้นอีกไม่น้อย
เพราะนอกจากค่าแรงเพิ่มขึ้นแล้วยังจะมีผลกระทบไปถึงค่าล่วงเวลา
(หรือที่เรียกกันว่า “ค่าโอ” หรือโอที) เงินสมทบประกันสังคม
หรือเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เพิ่มขึ้น
และยังเป็นฐานสำหรับคำนวณโบนัสหรือขึ้นเงินเดือนประจำปีในปีต่อไปที่จะเพิ่มขึ้นตามฐานค่าจ้างใหม่นี้อีกด้วย
นี่ยังไม่รวมการปรับเงินเดือนให้กับพนักงานเก่าที่ได้เงินเดือนเดิมต่ำกว่า
300
บาท ที่เข้ามาก่อนที่จะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท และคนกลุ่มนี้ก็มีฝีมือและมีประสบการณ์ทำงานมามากกว่าพวกที่เข้ามาใหม่แต่ได้
300 บาททันที ก็จะต้องเป็นสิ่งที่นายจ้างจะต้องมาดูว่าจะเอายังไงกับคนเก่าเหล่านี้
เป็นที่รู้กันว่าเจ้าค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรนี้มักจะเป็นอันดับต้น
ๆ ของค่าใช้จ่ายของบริษัท
ซึ่งถ้าบริหารไม่ดีล่ะก็อาจจะทำให้ในที่สุดบริษัทแบกรับไม่ไหวก็ต้องปิดกิจการกันไป
ดังนั้นหลายบริษัทก็จะต้องเริ่มหาวิธีการบริหารต้นทุนด้านบุคลากรเหล่านี้
ซึ่งที่เห็นเป็นข่าวบางแห่งก็แก้ปัญหานี้แบบผิดกฎหมายแรงงานเสียอีก เช่น
นำเอาค่าอาหาร, ค่าครองชีพ หรือที่ผมเรียกว่าสารพัดค่าต่าง ๆ
เข้าไปรวมกับค่าจ่างเสียเลยเพื่อให้ได้วันละ 300 บาท,
เปลี่ยนสภาพการจ้างจากลูกจ้างรายเดือนมาเป็นรายวันเพื่อลดค่าใช้จ่าย,
จ่ายค่าจ้างไม่ตรงเวลา ฯลฯ
เหล่านี้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ต่อไปในอนาคต
พร้อมกันนี้ผมก็มีตารางผลกระทบต้นทุนรวมในรายอุตสาหกรรมปี
2555-56
จัดทำโดยสำนักเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3-6 มกราคม
2556 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านดังนี้
ประเภทอุตสาหกรรม ต้นทุนรวมที่เพิ่มหลังจาก ต้นทุนรวมที่เพิ่มหลังจากปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 1-4-55 ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 1-1-56
(ร้อยละ) (ร้อยละ)
1. สิ่งทอ 11.05-18.13 13.87-22.75
2. เครื่องแต่งกาย 10.70-17.76 13.42-22.29
3. เครื่องหนัง 8.87-15.41 11.13-19.34
4. ไม้ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์จากไม้ 9.71-14.91 12.19-18.71
5. เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ 3.14-7.67 3.94-9.63
6. ยานยนต์ 2.09-4.26 2.62-5.35
จากตารางข้างต้นท่านจะเห็นได้ว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเยอะก็คือสิ่งทอ,
เครื่องแต่งกาย, เครื่องหนัง, ไม้เฟอร์นิเจอร์
ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์ต้นทุนรวมเพิ่มสูงขึ้นจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในปีนี้เมื่อเทียบกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในวันที่
1 เมษายน 2555
อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นนะครับว่า เหรียญย่อมมีสองด้านอยู่เสมอ
ในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
แต่จะออกด้านไหนผมว่า “เวลา”
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ซึ่งผมคิดว่าอย่างมากภายในครึ่งปีนี้ก็คงจะพอมองออกแล้วนะครับว่าจะเป็นยังไง
ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงสิ่งสำคัญคือการเก็บสิ่งต่าง
ๆ ตลอดจนปัญหาเหล่านี้ไว้เป็นประสบการณ์ที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจใด ๆ
ในครั้งต่อไปครับ
…………………………………….