วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ได้งานอะไรก็ทำไปก่อนเถอะ..ไม่พอใจค่อยลาออก ??


            หัวข้อที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ก็ได้มาจากการแวะเข้าไปดูเว็บไซด์แห่งหนึ่งที่เขามักจะมีคนเข้ามาสอบถามกันในเรื่องเกี่ยวกับงาน HR แล้วก็มีคนตั้งกระทู้ถามว่างานบริษัทที่ตัวเองไปสอบสัมภาษณ์ได้นั้นน่าทำหรือไม่ เป็นอย่างไร ใครมีข้อมูลช่วยบอกที ก็เลยมีคนตอบเข้ามาว่า “ได้งานอะไรก็ทำไปก่อนอย่างน้อยก็มีเวลาทดลองงาน (ประมาณ 120 วัน) ถ้าทำงานไปแล้วดีก็ทำต่อไปถ้าเห็นท่าไม่ดียังไงก็ค่อยลาออก”

            จากคำถามคำตอบเหล่านี้ผมเลยข้อคิดอะไรหลาย ๆ อย่างที่อยากจะมาแลกเปลี่ยนกับทั้งคนที่ทำงานด้าน HR และคนที่ไม่ได้ทำงานด้าน HR รวมถึงคนที่กำลังหางานดังนี้ครับ

1.      ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าวันนี้เป็นยุคของข้อมูลและข่าวสาร เป็นยุคของ Social Network เป็นยุค 3G (แม้จะมีสัญญาณมาแบบติด ๆ ดับ ๆ ก็เถอะ) และกำลังจะเข้าสู่ยุค 4G และเป็นยุคของ Generation Y หรือคนรุ่นใหม่

2.      จากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป HR หรือแม้แต่ผู้บริหารในทุกระดับขององค์กรจะต้องปรับเปลี่ยนสไตล์หรือวิธีการทำงานไปให้ทันกับคนรุ่นใหม่ ๆ (หรือ Gen Y) ที่จะเข้ามาเป็นคลื่นลูกใหม่ขององค์กรด้วยเช่นเดียวกัน เช่น

2.1  กระบวนการสรรหาคัดเลือกจะต้องรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะขืนทำอะไรอืดอาดยืดยาดมีขั้นตอนเยอะแยะมากมายเหมือนสมัยก่อน เช่น เรียกมาสอบข้อเขียนแล้วกลับไปรอฟังผลที่บ้าน 3 วันแล้วจะมีการประกาศผลสอบข้อเขียน แล้วก็เรียกมาสอบสัมภาษณ์รอบที่ 1 แล้วก็ให้กลับไปรอฟังผลที่บ้าน ถ้าผ่านก็จะเรียกมาสอบสัมภาษณ์รอบที่ 2 ฯลฯ อย่างนี้แล้วถ้าองค์กรของท่านไม่ใช่บริษัทใหญ่ ๆ ยอดนิยมที่คนอยากจะเข้าทำงานล่ะก็โอกาสที่จะได้คนมาทำงานก็ริบหรี่ลงไปเรื่อย ๆ ครับ

2.2  การปฏิบัติใด ๆ ต่อผู้สมัครงาน, พนักงานที่ทำงานอยู่แล้วในองค์กรก็ตาม ย่อมมีผลกระทบในเชิง Social Network เสมอ เช่น นส.สมใจไปสัมภาษณ์งานบริษัทแห่งหนึ่งแล้วสมมุติว่าผู้บริหารที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ของบริษัทแห่งนั้นพูดจาไม่ดีกับนส.สมใจ ช่วงเย็น ๆ หรือค่ำ ๆ ของวันนั้นอาจจะมีชื่อของบริษัทและพฤติกรรมของกรรมการสัมภาษณ์คนนั้น ๆ ขึ้นเว็บเป็นกระทู้ถามแล้วเดี๋ยวอีกไม่นานก็จะมีคนเข้ามาโพสต่อกันไปซึ่งไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม แต่แน่นอนว่าบริษัทนั้นถูกสังคมรับรู้ในทางลบไปเรียบร้อยแล้ว

2.3  ฝ่ายบริหาร หัวหน้างาน รวมถึงคนที่ทำงาน HR จึงควรที่จะต้องเข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เข้าใจเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้สื่อออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ โดยอาจจะต้องมี HR ที่คอยมอนิเตอร์เว็บ ไซด์ดัง ๆ ที่มักจะมีคนเข้าไปสอบถามปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแล้วคน HR ที่คอยดูแลเว็บไซด์เหล่านี้ก็จะเปรียบเสมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กรที่คอยชี้แจงทำความเข้าใจ  และคอยตอบคำถามทางด้าน HR ที่มีผู้สงสัยสอบถามมาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็จะเกิดประโยชน์อีกทางหนึ่งคือสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทในความคิดของคนรุ่นใหม่ ดูเป็น HR มืออาชีพในยุคออนไลน์ที่ไม่ใช่ยุคเดิมที่ทำแต่งานเอกสาร (งาน Paper Work) เป็นหลัก

2.4  เน้นการทำงานที่รวดเร็ว โปร่งใส และเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งในยุคนี้คงจะใช้วิธีบริหารจัดการแบบยุค Generation Baby Boomers หรือ Generation X ที่เป็นแบบ Top-Down ไม่ได้แล้วนะครับ เพราะยุค Baby Boomers และ Gen X ยังเป็นยุค “สีทนได้” หรือ “นายถูกเสมอ” แต่ยุคของ Gen Y นั้นไม่ใช่แล้วล่ะครับ ดังนั้นหัวหน้างานที่ชอบใช้วิธีบริหารจัดการแบบ “ทำตามที่พี่สั่ง..” หรือ ชอบพูดคำว่า “สมัยพี่ยัง.....” น่ะคงไม่ได้แล้วนะครับ เพราะคน Gen Y เขาอาจจะสวนมาว่า “นั่นมันสมัยพี่ แต่นี่มันสมัยผม” ก็เป็นได้นะครับ ลองเปิดโอกาสให้เขาได้คิด ได้แสดงฝีมือ และบริหารแบบ Bottom-Up บ้างแล้วผมเชื่อว่าท่านจะได้ไอเดียหรือผลงานอะไรดี ๆ จากคนเหล่านี้ครับ

3.      ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมตำหนิคนรุ่นเก่าว่าไม่ดี และคนรุ่นใหม่เป็นเทวดานะครับ เพราะวิธีคิดแบบที่ว่า “ได้งานอะไรก็ทำไปก่อนเถอะ..ไม่พอใจค่อยลาออก” น่ะ ก็เป็นวิธีคิดที่ไม่เหมาะสมเช่นเดียวกัน ลองคิดดูสิครับว่าถ้าใครสักคนจะตัดสินใจแต่งงานแล้วก็บอกว่า “แต่ง ๆ ไปก่อนเถอะ..ไม่พอใจค่อยเลิกกัน” ถ้ามีแนวความคิดอย่างนี้ล่ะก็ผมว่าสังคมมันคงจะวุ่นวายไม่น้อยจริงไหมครับ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องก็จะต้องพูดคุยให้แง่คิดกับลูกน้องที่คิดแบบนี้ รวมถึงต้องมีการทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจในความแตกต่างของ Generation อย่างที่ผมพูดมาแล้วข้างต้น

เพราะผมมักจะเปรียบเทียบการรับคนเข้าทำงานกับการตัดสินใจแต่งงานว่ามันจะคล้าย ๆ กันในบางเรื่องก็คือ เมื่อบริษัทตัดสินใจรับคนเข้าทำงานก็หวังที่จะให้คน ๆ นั้นเติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกับองค์กร และเป็นกำลังสำคัญต่อไปในระยะยาว เช่นเดียวกับการตัดสินใจแต่งงาน เราก็ต้องหวังว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อไปในระยะยาวร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจริงไหมครับ

แต่ถ้ามีทัศนคติว่า “ได้งานอะไรก็ทำไปก่อน..ไม่พอใจค่อยลาออก” น่ะ ผมว่ามัน Lose-Lose ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริษัทหรือพนักงานเองก็ตาม ซึ่งเป็นข้อคิดสำหรับท่านที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ขององค์กรจะต้องมีเทคนิคในการเตรียมคำถาม (Structured Interview) เพื่อค้นหาว่าผู้สมัครงานรายใดมีวิธีคิดแบบนี้จะได้ไม่ต้องรับเข้ามาทำงานโดยเห็นบริษัทเป็นเพียงศาลาพักร้อน
             ซึ่งผมเห็นว่าหลายแห่งที่ยังไม่เคยมีวิธีการสัมภาษณ์แบบ Structured Interview ก็เลยได้ผู้สมัครงานประเภทที่เข้ามาทำงานแบบลองงานไปก่อนแล้วก็ไปลาออกเอาในอีก 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือ 3 เดือนข้างหน้า แล้วก็ต้องมาหาคนใหม่กันอีกเสียเวลาทั้งฝั่งบริษัทและผู้สมัครงาน

ทางด้านผู้สมัครงานที่มีแนวคิดทำนองนี้ก็ Lose ตรงที่ว่าแล้วเมื่อไหร่ชีวิตการทำงานจะได้ตั้งต้นเสียที เพราะเวลาเมื่อผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ถ้ายังคิดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มีแผนในชีวิตว่าจะทำงานอะไร สายอาชีพไหน แล้วจะประสบความสำเร็จได้ยังไงล่ะครับ

วันนี้ท่านคงจะได้ข้อคิดหลาย ๆ เรื่องเลยนะครับจากคำ ๆ เดียวในกระทู้หางาน แต่สำคัญกว่านั้นคือท่านจะเริ่มต้นลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อให้งานและองค์กรของท่านดีขึ้นแล้วหรือยังครับ ?


..............................................