วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2566

บริษัทให้สวัสดิการเยอะกว่าที่อื่นจะทำโครงสร้างเงินเดือนให้ต่ำกว่าตลาดดีไหม ?

             ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ก็ต้อง Back to the basic ด้วยการตั้งคำถามชวนให้คิดว่า....

          “ทำไมการทำโครงสร้างเงินเดือนถึงใช้แต่เพียงเงินเดือนมูลฐาน (Basic Salary หรือ Base Salary) เท่านั้น ทำไมถึงไม่ใช้ข้อมูลเงินเดือน+สารพัดค่า ?”

            เอ่อ..คำว่า “สารพัดค่า” นี้ผมเรียกเองนะครับ หมายถึงเงินเดือนที่แต่ละบริษัทให้กับพนักงานที่นอกเหนือจากเงินเดือน เช่น โบนัส, ค่าครองชีพ, ค่าตำแหน่ง, ค่าภาษา, ค่าวิชาชีพ, ค่ารับรอง, ค่าน้ำมัน, ค่าบริการ, ค่ารถ, ค่ากะ ฯลฯ

เพราะแต่ละบริษัทมีการจ่ายค่าต่าง ๆ เหล่านี้ที่เหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้าง ผมก็ขอเลยเรียกมันรวม ๆ ว่าสารพัดค่าน่ะครับ

            ย้อนกลับไปที่ผมตั้งคำถามข้างต้น

            ผมมักจะเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่ชั่งน้ำหนักก่อนขึ้นชกแหละครับ เราจะเห็นว่านักมวยจะต้องใช้น้ำหนักจริงของร่างกายเท่านั้นโดยไม่รวมเสื้อผ้าหรืออัฐบริขารอื่นใด

            เพราะถ้าไปรวมเอาเสื้อผ้าหรือให้นักมวยคล้องโซ่ประดับร่างกายเข้าไปก็จะทำให้นักมวยดูมีน้ำหนักมากเกินจริงและเกิดภาพลวงตาว่าเป็นคนตัวใหญ่ ว่าไปแล้วถ้าทำอย่างนี้ก็เหมือนกับการหลอกตัวเองแหละครับ แต่พอขึ้นชกจริงก็จะสู้คนที่เขามีน้ำหนักตัวจริงที่หนักกว่าไม่ได้และต้องแพ้ไปในที่สุด

            การทำโครงสร้างเงินเดือนก็เช่นเดียวกัน

            ถ้าเราบอกว่าเรามีค่าโน่นค่านี่เยอะแยะมากกว่าคู่แข่งมากกว่าคนอื่น แต่ถามว่าค่าต่าง ๆ หรือสวัสดิการที่เราบอกว่าเรามีเยอะน่ะ เป็นสวัสดิการประเภทถูกใจคนจัดขัดใจคนรับหรือเปล่า ?

            แต่ที่แน่ ๆ คือถ้าเรามีฐานเงินเดือนที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้ก็จะเปรียบเสมือนนักมวยที่มีน้ำหนักจริง มีกล้ามเนื้อความแข็งแรงพื้นฐานจริงที่จะชกสู้กับคู่แข่งได้อย่างมั่นใจ โดยมีสารพัดค่าเป็นองค์ประกอบย่อยรองลงมาเป็นองค์ประกอบโดยหรือ Total Package รวมว่านักมวยคนนั้นน่าเกรงขามมากแค่ไหน

            จากที่เล่ามาทั้งหมดผมจึงสรุปคำตอบนี้ว่า

          “จำเป็นต้องทำโครงสร้างเงินเดือนขององค์กรเราให้แข่งขันได้” ครับ

          นั่นหมายถึงค่ากลาง (Midpoint) ของแต่ละ Job Grade ไม่ควรต่ำกว่าตลาด

            แม้ผู้บริหารจะบอกว่า “แต่บริษัทเราก็มีสวัสดิการตั้งหลายอย่างที่ดีกว่าตลาดนะ”

            สวัสดิการหรือสารพัดค่าก็เหมือนกับเสื้อผ้าเฟอร์นิเจอร์ประดับตัวนักมวยแหละครับ

            สมมุติว่านักมวยที่มีน้ำหนักตัวจริง 50 กก.แต่บอกว่าจะขึ้นชกในพิกัด 70 กก.แล้วก็โหลดเอาเสื้อผ้าเฟอร์นิเจอร์ใส่ตัวเยอะ ๆ เพื่อให้น้ำหนักได้ 70 กก.

            ขึ้นชกกับนักมวยคู่แข่งที่มีน้ำหนักตัวจริง 70 กก.ยังไม่รวมเฟอร์นิเจอร์อื่น

            ท่านคิดว่าใครจะชนะล่ะครับ

            ผมเข้าใจนะครับว่าฝ่ายบริหารอาจจะกังวลว่าบริษัทของเราก็มี Staff Cost ในเรื่องเงินสารพัดค่า+สวัสดิการอื่น ๆ ที่สูงอยู่แล้ว ขืนมาทำโครงสร้างเงินเดือนให้สู้กับตลาดได้ก็ยิ่งจะทำให้ Staff Cost บวมมากขึ้นไปอีก

            ก็เลยคิดว่างั้นก็กดโครงสร้างเงินเดือนให้ต่ำกว่าตลาดจะได้ควบคุมไม่ให้ Staff Cost บวมก็แล้วกัน

            แต่ถ้าแก้ปัญหาแบบปิดฟ้าด้วยฝ่ามือแบบนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาหลาย ๆ เรื่องตามมาครับ

          และหนึ่งในเรื่องที่จะเป็นปัญหาสำคัญก็คือพนักงานจะเงินเดือนตันกันในแทบทุก Job Grade เพราะบริษัทจะไม่ยอม Update โครงสร้างเงินเดือนขึ้นมาให้แข่งขันกับตลาดได้เพราะกลัว Staff Cost บวม ทำให้ Min และ Max ถูกตรึงไว้ในที่เดิมในขณะที่ Actual Pay ในแต่ละ Job Grade เพิ่มขึ้นทุกปี

            งั้นควรทำไงดี ?

1.      Update โครงสร้างเงินเดือนให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้เสียก่อน

2.      ทบทวนการจ่ายสารพัดค่าและสวัสดิการและจัดองค์ประกอบค่าตอบแทนใหม่โดยหาสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างเงินเดือน+สารพัดค่าที่บริษัทรับได้

3.      วางกลยุทธ์การบริหารคนในแต่ละ Job Grade ตามโครงสร้างเงินเดือนที่ Update แล้ว เช่น คนที่เป็น Talent แล้วเงินเดือนยังอยู่ที่ Quartile 1 หรือ คนที่เงินเดือนใกล้ตันหรือตันเพดานจะบริหารจัดการยังไง, วาง Career Path สำหรับกลุ่มคนที่เงินเดือน Under หรือ Over ค่ากลางตาม Performance และ Competency เป็นรายบุคคล, วางแผนและกำหนดนโยบายเกี่ยวกับงบประมาณอัตรากำลังและงบประมาณการจ้างในแต่ละ Job Grade ให้ชัดเจน ฯลฯ

จริง ๆ แล้วรายละเอียดในการปฏิบัติยังมีอีกเยอะ แต่ในเบื้องต้นผมเล่ามาเท่านี้เพราะไม่งั้นจะยาวเกินไปและเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละองค์กร

แต่หลักใหญ่ใจความผมยังยืนยันว่าจำเป็นจะต้อง Update โครงสร้างเงินเดือนให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้เสียก่อน อันนี้สำคัญมากครับ

เพราะโครงสร้างเงินเดือนไม่แค่เป็นเครื่องมือ แต่มันคือกติกาที่จะเป็นพื้นฐานที่จะทำไปสู่การคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับการบริหารค่าตอบแทนขององค์กร

เปรียบเสมือนถ้าเราเล่นกีฬาใดก็ตามแล้วไม่มีกติกาให้ชัดเจน ลองนึกภาพดูนะครับว่ากีฬาที่ไม่มีกติกาใด ๆ นั้นผลจะออกมาเป็นยังไง