วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2565

HR เรียนรู้อะไรจากสองพี่น้องปล้นเงินบริษัท

           จากข่าวดังที่สองพี่น้องร่วมกันปล้นชิงเงินบริษัท 3.4 ล้านบาทที่เบิกมาเพื่อจะเอามาจ่ายเป็นเงินเดือนพนักงานโดยพยายามทำให้ดูเหมือนกับเป็นเรื่องสามีภรรยาทะเลาะกันนั้น

ผมเลยสรุปเรื่องที่ HR ได้เรียนรู้จากเคสนี้ดังนี้ครับ

1.      ควรจ่ายเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคาร : บริษัทไหนที่ยังจ่ายเงินเดือนพนักงานด้วยการให้พนักงานไปเบิกเงินสดที่ธนาคารแล้วนำมาจ่ายให้กับพนักงานควรเปลี่ยนวิธีการใหม่คือควรโอนเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคารให้พนักงาน

นอกจากจะตัดปัญหาเรื่องเกลือเป็นหนอนแล้วยังจะช่วยลดความเสี่ยงสำหรับพนักงานที่ทำหน้าที่ไปเบิกเงินจะถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าชิงทรัพย์ได้อีกด้วย

2.      ค้นหาและบริหารความเสี่ยง : ควรมีการหาข้อมูลพนักงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของบริษัททั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการว่ามีพนักงานมีหนี้สินมากเกินตัวหรือไม่

เช่น กรณีนี้พนักงานคนนี้เป็นพนักงานการเงินมีเงินเดือน ๆ ละ 3 หมื่นบาท ผ่อนรถกระบะเดือนละ 17,000 บาท ผ่อนบิ๊กไบค์เพราะความชอบส่วนตัว (ข่าวไม่ได้บอกว่าเดือนละเท่าไหร่แต่ก็ต้องหลายพันหรืออาจจะหลักหมื่นบาทต่อเดือน) ส่งเงินให้พ่อแม่เดือนละ 10,000 บาท ตอนนี้รถกระบะก็ขาดส่งและกำลังจะโดนไฟแนนซ์ยึด แถมยังไปเล่นบิทคอยล์จนขาดทุนอีก

กรณีทุจริตทำนองนี้จากที่ผมพบมามักจะเป็นพนักงานที่ติดการพนันเป็นหนี้สินรุงรังก็มีครับ

ถ้าหัวหน้าของพนักงานคนนี้มีการพูดจาสารทุกข์สุขดิบมีการสื่อสารที่ดีกับลูกน้องในทีมงานอยู่เป็นประจำแล้ว จะได้คิดหาวิธีลดความเสี่ยงทำนองนี้ลงได้ว่าควรจะให้รับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ของบริษัทอยู่ต่อไปดีหรือไม่

3.      ทุจริตเงินน้อยหรือทุจริตเงินมากคือฐานความผิดเท่ากันถือเป็นความผิดร้ายแรง : การทุจริตต่อหน้าที่ถือเป็นฐานความผิดร้ายแรงตามม.119 ของกฎหมายแรงงานที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

จากที่เคยเป็นกรรมการสอบสวนการทุจริตผมจะมีจุดยืนที่ชัดเจนเสมอคือเลิกจ้าง แม้ว่าบางครั้งหัวหน้าของพนักงานทุจริตจะบอกในที่ประชุมคณะกรรมการวินัยว่าขอให้นำความดีของลูกน้องที่ทุจริตมาลดหย่อนโทษและลูกน้องก็ทุจริตเงินแค่หลักหมื่นบาทเอง ควรให้โอกาสปรับปรุงแก้ไขโดยการออกหนังสือตักเตือนก็พอ

ผมก็จะยืนยันกับที่ประชุมชัดเจนทุกครั้งว่าการทุจริตไม่ว่าจะ 3 หมื่นหรือ 3 ล้านบาทก็มีฐานความผิดเท่ากัน ไม่ใช่ว่าทุจริต 3 หมื่นจะมีโทษน้อยกว่าทุจริต 3 ล้านซะเมื่อไหร่

ถ้าบริษัทไม่มีบทลงโทษกรณีทุจริตที่ชัดเจนแถมเอาวงเงินที่ทุจริตมาเป็นข้อต่อรองอย่างนี้แล้ว ต่อไปก็จะเกิด Me too ตามมาแน่นอน เหมือนสนิมที่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ลุกลามไปเป็นเรื่องใหญ่ต่อไปแหละครับ

สำหรับข้อนี้บางท่านอาจไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมก็ไม่ว่ากันนะครับ ผมแค่แชร์ประสบการณ์และการตัดสินใจในเรื่องนี้ของผมเท่านั้น ใครจะเห็นเป็นอย่างอื่นก็แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละคน

นี่แหละครับ Lesson Learn สำหรับกรณีศึกษานี้