จากข่าวดังที่สองพี่น้องร่วมกันปล้นชิงเงินบริษัท 3.4 ล้านบาทที่เบิกมาเพื่อจะเอามาจ่ายเป็นเงินเดือนพนักงานโดยพยายามทำให้ดูเหมือนกับเป็นเรื่องสามีภรรยาทะเลาะกันนั้น
ผมเลยสรุปเรื่องที่
HR ได้เรียนรู้จากเคสนี้ดังนี้ครับ
1.
ควรจ่ายเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคาร : บริษัทไหนที่ยังจ่ายเงินเดือนพนักงานด้วยการให้พนักงานไปเบิกเงินสดที่ธนาคารแล้วนำมาจ่ายให้กับพนักงานควรเปลี่ยนวิธีการใหม่คือควรโอนเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคารให้พนักงาน
นอกจากจะตัดปัญหาเรื่องเกลือเป็นหนอนแล้วยังจะช่วยลดความเสี่ยงสำหรับพนักงานที่ทำหน้าที่ไปเบิกเงินจะถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าชิงทรัพย์ได้อีกด้วย
2.
ค้นหาและบริหารความเสี่ยง : ควรมีการหาข้อมูลพนักงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของบริษัททั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการว่ามีพนักงานมีหนี้สินมากเกินตัวหรือไม่
เช่น
กรณีนี้พนักงานคนนี้เป็นพนักงานการเงินมีเงินเดือน ๆ ละ 3 หมื่นบาท
ผ่อนรถกระบะเดือนละ 17,000 บาท
ผ่อนบิ๊กไบค์เพราะความชอบส่วนตัว (ข่าวไม่ได้บอกว่าเดือนละเท่าไหร่แต่ก็ต้องหลายพันหรืออาจจะหลักหมื่นบาทต่อเดือน)
ส่งเงินให้พ่อแม่เดือนละ 10,000 บาท ตอนนี้รถกระบะก็ขาดส่งและกำลังจะโดนไฟแนนซ์ยึด
แถมยังไปเล่นบิทคอยล์จนขาดทุนอีก
กรณีทุจริตทำนองนี้จากที่ผมพบมามักจะเป็นพนักงานที่ติดการพนันเป็นหนี้สินรุงรังก็มีครับ
ถ้าหัวหน้าของพนักงานคนนี้มีการพูดจาสารทุกข์สุขดิบมีการสื่อสารที่ดีกับลูกน้องในทีมงานอยู่เป็นประจำแล้ว
จะได้คิดหาวิธีลดความเสี่ยงทำนองนี้ลงได้ว่าควรจะให้รับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง
ๆ ของบริษัทอยู่ต่อไปดีหรือไม่
3.
ทุจริตเงินน้อยหรือทุจริตเงินมากคือฐานความผิดเท่ากันถือเป็นความผิดร้ายแรง
:
การทุจริตต่อหน้าที่ถือเป็นฐานความผิดร้ายแรงตามม.119 ของกฎหมายแรงงานที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
จากที่เคยเป็นกรรมการสอบสวนการทุจริตผมจะมีจุดยืนที่ชัดเจนเสมอคือเลิกจ้าง
แม้ว่าบางครั้งหัวหน้าของพนักงานทุจริตจะบอกในที่ประชุมคณะกรรมการวินัยว่าขอให้นำความดีของลูกน้องที่ทุจริตมาลดหย่อนโทษและลูกน้องก็ทุจริตเงินแค่หลักหมื่นบาทเอง
ควรให้โอกาสปรับปรุงแก้ไขโดยการออกหนังสือตักเตือนก็พอ
ผมก็จะยืนยันกับที่ประชุมชัดเจนทุกครั้งว่าการทุจริตไม่ว่าจะ
3 หมื่นหรือ 3 ล้านบาทก็มีฐานความผิดเท่ากัน
ไม่ใช่ว่าทุจริต 3 หมื่นจะมีโทษน้อยกว่าทุจริต 3 ล้านซะเมื่อไหร่
ถ้าบริษัทไม่มีบทลงโทษกรณีทุจริตที่ชัดเจนแถมเอาวงเงินที่ทุจริตมาเป็นข้อต่อรองอย่างนี้แล้ว
ต่อไปก็จะเกิด Me
too ตามมาแน่นอน เหมือนสนิมที่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ
ลุกลามไปเป็นเรื่องใหญ่ต่อไปแหละครับ
สำหรับข้อนี้บางท่านอาจไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมก็ไม่ว่ากันนะครับ
ผมแค่แชร์ประสบการณ์และการตัดสินใจในเรื่องนี้ของผมเท่านั้น ใครจะเห็นเป็นอย่างอื่นก็แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละคน
นี่แหละครับ Lesson Learn สำหรับกรณีศึกษานี้