วันดีเข้าทำงานกับบริษัทในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการตั้งแต่ปวส. เงินเดือน 12,000 บาท วันดีเรียนต่อภาคค่ำจนจบปริญญาตรีใช้เวลา 2 ปี (เรียนต่อตั้งแต่เริ่มทำงานปีแรก) แถม 2 ปีที่ผ่านมา วันดีก็เป็นพนักงานชั้นเยี่ยมมีผลงานดีเยี่ยมมีผลการประเมินเกรด A มาโดยตลอด
ปัจจุบันวันดีได้รับเงินเดือน 14,000 บาท ปัจจุบันบริษัทรับพนักงานจบปริญญาตรีอัตราเริ่มต้น 15,000 บาท วันดีมาบอกกับท่านว่าขอให้บริษัทปรับเงินเดือนเป็น 15,000 บาทเพราะจบปริญญาตรีแล้ว
ถ้าไม่ปรับให้ก็จะขอลาออก!!
ปัญหาข้างต้นนี้เป็นปัญหาที่มักเจอกันบ่อย
ๆ เลยใช่ไหมครับ
แล้วองค์กรของท่านแก้ปัญหานี้ยังไงกันบ้างล่ะ?
บางบริษัทก็อาจจะโอเคปรับให้เพราะพนักงานอุตส่าห์ร่ำเรียนต่อเพิ่มเติมจนนำใบปริญญาบัตรมาอวดได้ก็ปรับให้เขาหน่อยก็แล้วกัน
บางบริษัทก็มีเงื่อนไขว่าจะปรับให้ถ้าคุณวุฒิที่จบเกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่
เช่น เข้ามาทำงานกับบริษัทเป็นเจ้าหน้าที่การเงินครั้งแรกจบ ปวส.
แต่เรียนต่อภาคค่ำจนจบปริญญาตรีด้านการเงินอย่างนี้ล่ะก็ปรับให้
แต่ถ้าจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ก็ถือว่าไม่ตรงก็เลยไม่ปรับให้
แต่พอเจ้าหน้าที่การเงินคนเดียวกันนี้ย้ายไปอยู่ฝ่ายธุรการก็เริ่มร้องขอให้ปรับคุณวุฒิใหม่อีกเพราะบอกว่าจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์เกี่ยวข้องกับงานด้านธุรการเหมือนกัน
ฯลฯ
ปัญหาในเรื่องนี้ผมว่าเราคงต้องย้อนกลับมาดูที่ต้นทางกันเสียก่อนนะครับว่า
สาเหตุของปัญหานี้เกิดขึ้นจากอะไร ?
เริ่มจาก JD เป็นไงครับ....
ผมมักจะพบว่า
JD
ของบริษัทเหล่านี้มักจะระบุคุณวุฒิไว้แบบกว้าง ๆ ว่า
“ปวส.-ปริญญาตรี”
นี่แหละครับต้นเหตุของปัญหานี้!
เพราะตอนสรรหาคัดเลือกผู้สมัครงานในบางช่วงอาจจะหาคนที่จบปริญญาตรีไม่ได้
หรือผู้สมัครที่จบปริญญาตรีไม่เตะตาโดนใจกรรมการสัมภาษณ์เท่ากับผู้สมัครที่จบปวส.
บริษัทก็เลยเลือกรับผู้สมัครที่จบปวส.เข้ามาทำงาน แล้วเมื่อเขาทำงานไปสักปีสองปีและเรียนต่อไปด้วยก็เกิดปัญหานี้ในที่สุด
วิธีป้องกันปัญหานี้
ผมเสนอให้ท่านปรับปรุง JD ให้ชัดเจนนะครับว่าตกลงแล้วองค์กรของท่านต้องการคนจบคุณวุฒิอะไรกันแน่แล้วก็รับให้ตรงตามวุฒินั้น
ๆ เช่นต้องการคนจบปวส.เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ ก็รับมาตามวุฒิที่เงินเดือน 12,000
บาท (ตามตัวอย่างข้างต้น)
แม้จะมีผู้สมัครงานที่จบปริญญาตรีมาสมัครงานในตำแหน่งดังกล่าวและยอมรับเงินเดือนเริ่มต้นที่
12,000
บาท บริษัทก็ไม่ควรจะรับเข้าทำงานเพราะศัพท์เทคนิคเขาเรียกว่า “Over
Qualify” หรือคุณสมบัติสูงกว่าตำแหน่งงานที่ต้องการ
สำหรับกรณีของวันดีก็ต้องตั้งคำถามว่า
“การที่วันดีทำงานดีมีฝีมือจนได้รับการประเมินผลงานเกรด A
มาสองปีซ้อนน่ะ เกิดจากการที่วันดีเรียนต่อจนจบปริญญาตรีหรือไม่?”
หรือตั้งคำถามใหม่ว่า
“คุณวุฒิปริญญาตรีที่วันดีเรียนจบมาน่ะ มีผลกับการทำงานหรือไม่?”
ก็คงต้องตอบว่า
“ไม่ใช่”
เพราะถึงแม้วันดีไม่ได้เรียนจนจบปริญญาตรี
เธอก็เป็นคนทำงานดีมีผลงานมีฝีมืออยู่แล้วด้วยความสามารถของตัวเธอเองจริงไหมครับ
ไม่ใช่ว่าพอเรียนปริญญาตรีจบแล้วจะทำให้ผลงานดีขึ้นทันใดเสียเมื่อไหร่กันล่ะ
ถ้าผู้บริหารเห็นว่าวันดีเป็นพนักงานที่มีศักยภาพสูง
เป็น Talent
ก็ควรจะต้องปรับเงินเดือนให้วันดีเป็นกรณีพิเศษเพื่อรักษาคนที่เป็น Talent
เอาไว้ก่อนที่วันดีจะเรียนจบเสียด้วยซ้ำ
เพื่อลดโอกาสที่วันดีจะไปสมัครงานที่อื่นหรือถูกคู่แข่งดึงตัวไป
แต่กรณีนี้เมื่อบริษัทไม่ได้ปรับเงินเดือนตามผลงานเพื่อรักษาวันดีเอาไว้
แล้ววันดีมาเรียนจบก็พบว่าเงินเดือนยังต่ำกว่าอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิของคนเพิ่งจบใหม่
บริษัทก็อาจจะต้องมาพิจารณาปรับเงินเดือนให้กับวันดีตามผลงานที่ดีเยี่ยม
แต่ก็คงจะต้องเป็นการปรับหลังจากนี้ไปอีกสัก 3-4 เดือนเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการปรับเนื่องจากวันดีเพิ่งจบปริญญาตรี
แต่เป็นการปรับตามผลงานที่ดีเยี่ยมเป็นหลัก
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ!
นั่นคือบริษัทต้องไปแก้ไขคุณสมบัติด้านคุณวุฒิของตำแหน่งงานที่ต้องการคนจบใหม่
(ไม่ต้องมีประสบการณ์ทำงาน)
โดยให้ระบุคุณวุฒิที่ชัดเจนไปเพียงตัวเดียวไม่ควรกำหนดคุณวุฒิแบบเปิดกว้างอีก
จะได้ไม่ต้องมีดราม่าแบบนี้เป็นรายต่อไปครับ
..........................................