ปัญหาที่สำคัญเรื่องหนึ่งในวันนี้คือการหาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าทำงานว่าหายากแล้ว
การรักษาคนเหล่านี้ให้อยู่กับองค์กรก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
เพราะด้วยค่านิยมการทำงานของคนรุ่นใหม่ (ที่เรามักจะเรียกว่า Gen Y) ก็เปลี่ยนแปลงไปจากคนรุ่นก่อนหน้านี้ รวมถึงความเจริญทางเทคโนโลยีในโลกออนไลน์ก็มีมากกว่าแต่ก่อนเยอะ
ทำให้โอกาสที่จะทำให้คนรุ่นใหม่มีช่องทางในการหางานในลักษณะต่าง ๆ
ที่เหมาะสมกับตัวเองมีความเป็นอิสระมากขึ้นกว่าการมาเป็นพนักงานประจำบริษัทที่ต้องทำงานแปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น
ก็ยิ่งทำให้การรักษาพนักงานไว้กับองค์กรยิ่งยากมากขึ้น
ในวันนี้ผมก็เลยอยากจะขอประมวลรวบรวมสาเหตุการลาออกของพนักงานมาเพื่อให้ข้อคิดสำหรับท่านที่เป็นหัวหน้างานหรือผู้บริหารได้อ่านเพื่อเป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนว่าองค์กรของเราเป็นแบบนี้อยู่หรือไม่
เพื่อจะได้นำเรื่องเหล่านี้กลับมาแก้ไขเพื่อลดการลาออกและรักษาคนที่เก่งและดีไว้กับองค์กรของท่านให้ดีมากยิ่งขึ้น
สาเหตุการลาออกของพนักงานที่ทำงานดี
ๆ มีดังนี้
1.
ต้องการความก้าวหน้า, ไปศึกษาต่อ,
ได้งานใหม่
สาเหตุทำนองนี้มักจะเขียนเอาไว้ในใบลาออกแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
รักษาความรู้สึกดี ๆ กันเอาไว้ แต่มักไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงในใจของพนักงานที่ลาออกนักหรอกครับ
แต่สาเหตุที่แท้จริงนอกเหนือจาก Exit Interview น่ะมักเป็นตามข้อถัดไปข้างล่างนี้ครับ
2.
องค์กรใหญ่มากเกินไป
ทำให้ได้เรียนรู้งานเพียงด้านเดียวเกินกว่าสองปีโดยไม่มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทำงานด้านอื่นบ้างเลย
ทำให้รู้สึกว่าทำงานซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำงานจำเจ เบื่อ ฯลฯ
3.
บรรยากาศทำงานในหน่วยงานไม่ Support กัน ต่างคนต่างเอาเปรียบและเอาตัวรอดในการทำงาน
พร้อมจะโบ้ยความผิดพลาดให้คนอื่นเป็นแพะเอาไว้ก่อนโดยไม่คิดที่จะช่วยเหลือแก้ปัญหากัน
ที่ร้ายหนักกว่านั้นคือคนที่ชอบโบ้ยและโยนความผิดก็ดันเป็นหัวหน้าซะเองที่พร้อมจะโยนความผิดให้ลูกน้องเป็นแพะอยู่บ่อย
ๆ ประเภท I’m
OK you’re not OK.
4.
มีการเมืองภายในองค์กรเยอะ
มีการใช้อิทธิพลเส้นสายกันภายในองค์กรเช่นการย้ายคนไม่เหมาะสมมาลงในตำแหน่งงานที่สำคัญ
(ที่เรามักจะเรียกว่าย้ายข้ามห้วยนั่นแหละครับ) ในขณะที่คนที่มีความความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกลับถูกดอง
หรือมองข้ามด้วยคำพูดง่าย ๆ ว่า “ยังมือไม่ถึง” หรือ “ยังอาวุโสน้อยไป”
5.
เงินเดือนน้อยกว่าตลาดแข่งขัน
เพราะบริษัทไม่มีโครงสร้างเงินเดือนแถมยังจ่ายตามใจฉัน
(หมายถึงตามใจผู้บริหารที่มีอำนาจในเรื่องนี้น่ะครับ)
ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วในเรื่องของการบริหารค่าตอบแทนนะครับไปหาอ่านเพิ่มเติมได้
6.
ผู้บริหารใช้อำนาจโดยไม่รับฟังความคิดเห็น บางคนถึงขึ้นบ้าอำนาจก็ได้
คือมีกฎการทำงานกับลูกน้องอยู่ 3 ข้อคือ ข้อ 1 หัวหน้าถูกเสมอ
ข้อ 2 ถ้าไม่แน่ใจว่าหัวหน้าถูกหรือเปล่าก็กลับไปดูข้อ 1
และข้อ 3 ให้ปฏิบัติตามข้อ 1 และข้อ 2 อย่างเคร่งครัด
ดังนั้นหัวหน้าสั่งอะไรก็ต้องทำห้ามหือ ห้ามเถียง ถ้าไม่พอใจก็ลาออกไป เดี๋ยวจะหาคนใหม่มาทำแทน
7.
ผู้บริหารทำงานแบบตามใจฉัน
(ซึ่งข้อนี้มักจะมีเชื้อมาจากข้อ 6 แหละครับ)
คือฉันมีอำนาจฉันจะทำยังไงก็ได้ เช่น
เซ็นสัญญาจ้างรับคนเข้าทำงานเรียบร้อยแล้วแต่พอใกล้ ๆ
จะถึงวันเริ่มงานก็ให้ฝ่ายบุคคลโทรไปปฏิเสธไม่รับผู้สมัครงาน
หรือเมื่อตกลงว่าจ้างกันที่อัตราเงินเดือน 20,000 บาทแต่พอทำงานไปได้
2 เดือนก็ให้ไปคุยกับพนักงานขอลดเงินเดือนลง 2,000 บาท โดยให้อ้างว่าทำงานไม่ดี ฯลฯ เรียกว่าทำงานแบบตามใจฉัน (ผู้บริหาร)
โดยไม่มีระบบ ไม่มีหลักการ และขาดความเป็นมืออาชีพ
ซึ่งถึงแม้จะมีการโต้แย้งให้เหตุผลแล้วก็ยังไม่ยอมรับฟัง
สั่งให้ทำตามที่ผู้บริหารต้องการเท่านั้น
8.
สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น
มีข้าวของวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ หรือมีสภาพแวดล้อมที่แออัด
จนทำให้คนทำงานรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม
บางแห่งบางโรงงานก็มีกลิ่นจากกระบวนการผลิต เช่น กลิ่นไอน้ำมันที่แรงมาก ๆ , มีฝุ่นละอองเยอะมาก,
มีความร้อนสูง หรือลักษณะของงานที่เสี่ยงอันตรายสูง ฯลฯ
ซึ่งสภาพการทำงานแบบนี้คนที่อยู่มานาน ๆ อาจจะเคยชินแต่อย่าลืมว่าคนใหม่ที่เข้าไปเจอสภาพการทำงานอย่างนี้ล่ะครับ
เขาจะคิดยังไง
9.
ไม่มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าในงานที่ทำ ซึ่งผมมักจะเจอว่าหลายแห่งไม่เคยมีหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งที่ชัดเจน
ไม่มี Career
Path หรือมีหลักเกณฑ์ก็จริงแต่ไม่เคยใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้เลย การเลื่อนตำแหน่งอยู่ที่ใจผู้บริหารว่าจะเลือกใคร
แถมการเลื่อนตำแหน่งก็เป็นไปแบบระบบเด็กใครเด็กมัน เส้นใครเส้นมัน
10.
ไม่มีระบบการประเมินผลงานที่ชัดเจน
ใช้ความรู้สึกในการประเมินผลงาน
ขาดตัวชี้วัดผลงานที่ชัดเจนก็เลยมีผลโยงไปถึงการขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือบางแห่งก็ใช้ตัวชี้วัดเป็นเครื่องมือจับผิดและลงโทษพนักงานเป็นหลักแทนที่จะใช้เพื่อพัฒนาให้งานดีขึ้น
มีการจ่ายโบนัสที่แล้วแต่ว่าอยากจะให้ใครมากก็ให้โดยไม่คิดถึงระบบคุณธรรมหรือผลงานทำให้เกิดความรู้สึกไม่ยุติธรรมสำหรับพนักงานที่มีผลงานก็เลยขอบ๊ายบายดีกว่า
11.
เอารัดเอาเปรียบพนักงานแม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย
ๆ
แต่ก็บ่อย ๆ จนพนักงานรู้สึกไม่ยุติธรรม เช่น ทำงานล่วงเวลาก็ไม่ให้ค่าโอที
หรือใช้ให้พนักงานเดินทางไปปฏิบัติงานนอกสถานที่แต่ไม่จ่ายค่าพาหนะให้
หรือจ่ายค่าพาหนะให้ก็น้อยจนพนักงานต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายสมทบ ฯลฯ
เข้าทำนองพนักงานต้องเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง
ทั้งหมดที่ผมบอกมานี้เป็นตัวอย่างหลัก
ๆ เท่าที่ผมคิดออกตอนนี้ที่ทำให้พนักงานก็ตัดสินใจลาออกทิ้งองค์กรไปในที่สุด และก็หลายครั้งทำให้องค์กรเสียคนดีมีฝีมือไปอย่างน่าเสียดาย
คราวนี้ก็คงอยู่กับผู้บริหารในแต่ละองค์กรแล้วล่ะครับว่าจะเปิดใจยอมรับ
และคิดทบทวนอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้นเพื่อลดเงื่อนไขการลาออกของพนักงานลงบ้างหรือไม่เท่านั้นแหละครับ
……………………………………….
ฟังพ็อดแคสต์คลิ๊กhttps://tamrongs.podbean.com/e/ep116%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b5/