มีน้องใหม่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านบริหารธุรกิจ เกรดเฉลี่ย 3
กว่า ๆ เข้ามาทำงานได้ประมาณ 2 เดือน
แต่ถูกรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่มาก่อนรับน้องละน่วม คือชอบโยนงานต่าง ๆ
มาให้ทำเยอะแยะไปหมดแล้วตัวเองก็ไปนั่งเล่นเฟซบุ๊กให้น้องใหม่เห็นซะอีก
น้องใหม่รายนี้ก็เลยคับข้องใจเพราะถูกโยนงานทั้งหลายมาให้จนทำแทบไม่ทัน
เหนื่อย ทำไปก็ไม่เห็นจะได้ประสบการณ์อะไรเพิ่มขึ้นเลย
เริ่มคิดว่างานที่ทำไม่คุ้มกับเงินเดือน ๆ ละ 15,000 บาท
ก็อยากจะหางานใหม่เพราะฐานะทางบ้านก็ปานกลางลาออกมาก็ยังพอมีเวลาไปหางานใหม่ได้
ตกลงแล้วน้องใหม่รายนี้ควรจะลาออกดีหรือไม่ ?
ผมเชื่อว่าปัญหาทำนองนี้เกิดขึ้นได้กับมนุษย์เงินเดือนทุกคนไม่เฉพาะแต่พนักงานเข้าใหม่นะครับ
วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดก็คือการลาออก
เพราะไม่ต้องคิดอะไรมากแค่เขียนใบลาออกแล้วก็ไปยื่นกับหัวหน้างานทุกอย่างก็จบสำหรับที่นี่!
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างงั้นลองนั่งนิ่ง
ๆ แล้วลองฟังผมสักนิดนึงก่อนนะครับ....
1. ทัศนคติคือทุก
ๆ อย่างในชีวิต: ถ้าอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จต้องหาทางเปลี่ยนวิธีคิดจากลบเป็นบวกให้ได้เสียก่อน
เพราะ “สิ่งใด ๆ
ที่เกิดขึ้นมาแล้วสิ่งนั้นไม่ได้ดีหรือเลวด้วยตัวของมันเองนะครับ แต่ความรู้สึก
(หรือทัศนคติ) ของเราที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหากที่จะทำให้มันดีหรือเลว”
2.
มองวิกฤตเป็นโอกาส :
แทนที่เราจะคิดว่าทำไมใคร ๆ ก็โยนงานอะไรก็ไม่รู้มาให้เราทำตั้งเยอะแยะไม่ยุติธรรมเลย
ก็ลองกลับมาคิดเสียใหม่ว่าแล้วเราได้เรียนรู้งานใหม่ ๆ ที่พี่ ๆ
เขาโยนมาให้เรามากขึ้นกว่าเดิมบ้างล่ะ
งานเหล่านี้ทำให้เรามีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นในการทำงานมาก ๆ ในระยะเวลาจำกัด
ทำให้เราต้องบริหารเวลากับงานได้ดีขึ้นเพื่อส่งงานให้ได้ตรงเวลา
เมื่อเราสามารถทำงานเหล่านี้ได้มันก็จะเป็นผลงานของเราเองเลยนะครับ
เมื่อเวลาผ่านไปเราอายุมากขึ้นมองกลับไปด้วยความภูมิใจว่าหนักกว่านี้เราก็ผ่านมันมาได้แล้ว
3.
เราจะมีทักษะในการแก้ปัญหามากขึ้น : จากงานที่โดนโยนมาเยอะแยะเหล่านั้น จะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาและจัดการกับปัญหาต่าง
ๆ เพื่อทำให้งานสำเร็จให้ได้
ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์จริงในภาคปฏิบัติที่ไม่มีสอนในตำราเล่มไหน
เรียกว่าเราได้เรียนกระบวนการแก้ปัญหาและตัดสินใจจากหน้างานจริง ๆ เลย ซึ่งในวันข้างหน้าประสบการณ์เหล่านี้เรายังเอาไว้ยกเป็นตัวอย่างให้คำแนะนำกับรุ่นน้องต่อ
ๆ ไปได้อีกนะครับเรียกว่ามีนิทานจากเรื่องจริงมาเล่าให้ลูกน้องฟังกันไม่หมดเลยแหละ
แถมบางเรื่องอาจจะดูซีเรียสในตอนที่เจอปัญหา
แต่เมื่อผ่านปัญหานั้นมาได้ก็กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ในภายหลังไปเลยก็มี
4.
ฝึกความอดทน : ประสบการณ์แบบนี้จะช่วยฝึกการควบคุมอารมณ์ตัวเอง
เพราะในชีวิตการทำงานนั้นจะต้องมีบ้างแหละครับที่ “เราต้องทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ
และไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ”
ดังนั้นความอดทนและสู้งานเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่องค์กรต้องการ พูดง่าย ๆ
คือเก่งงานแค่ไหนแต่ถ้าไม่อดทนก็เติบโตยากนะครับ
5.
ถ้าหนีปัญหาคงจะต้องหนีไปเรื่อย ๆ : ถ้าเราตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการลาออกทันทีที่เจอปัญหา
ไม่ใช่การแก้ปัญหานะครับแต่เป็นการ “หนีปัญหา” มากกว่า
และถ้าตัดสินใจลาออกทันทีแบบนี้ทั้งที่ทำงานได้ประมาณ 2 เดือน
แล้วต่อไปถ้าไปเจอปัญหาทำนองเดียวกันนี้ในที่ทำงานใหม่จะทำยังไงล่ะครับ? จะลาออกอีกไหม? แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่างานที่ใหม่จะมีปัญหาน้อยกว่านี้
ถ้าจะลาออกเพื่อหนีปัญหามิต้องลาออกทุก
ๆ ครั้งที่เจอปัญหาหรือ?
อยากจะปิดท้ายว่าความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่มีแต่ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องของฐานะหรือความเก่งในงาน
แต่ทัศนคติและความคิดที่ดีต่างหากที่จะทำให้คน ๆ นั้นประสบความสำเร็จในชีวิตครับ
……………………………