วันนี้ผมยังพบว่าในหลายองค์กรยังคงมีการบริหารค่าตอบแทนแบบตามใจฉัน
(คือผู้บริหารระดับสูง) ที่ผมเรียกเล่น ๆ ว่า “หลักกู”
โดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแล้วทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาให้ปวดหัวต้องมาตามแก้ไขกันอยู่เสมอ
ๆ
หลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของการบริหารค่าตอบแทนคือ
“ความเสมอภาคและเป็นธรรม” โดยไม่ใช้หลักกู หรือใช้ความรู้สึกนะครับ
เพราะถ้าองค์กรไหนขาดหลักของความเสมอภาคและเป็นธรรมในการบริหารและจ่ายค่าตอบแทนแล้ว
ก็จะมีดราม่าตามมาเสมอ เพราะสัจธรรมที่ว่า....
“เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเงินเดือนของเพื่อนได้เท่าไหร่”
แม้จะบอกว่าเงินเดือนเป็นความลับ
แต่ในทางลึกแล้วเรื่องเงินเดือนมักจะไม่ลับในหมู่เพื่อนฝูงครับ
ปัญหาในเรื่องค่าตอบแทนที่ผมนำมาคุยในวันนี้ผมเชื่อว่าเราจะพบเห็นกันได้ในหลายองค์กรนั่นคือ....
การตั้งเงินเดือนให้ไม่เท่ากับสำหรับคนที่จบคุณวุฒิเดียวกัน
แต่จบคนละสถาบัน
!
หรือแม้จบสถาบันเดียวกันแต่ถ้าใครได้เกียรตินิยมจะได้เงินเดือนสูงกว่าคนที่ไม่จบเกียรตินิยม !
เช่นจบปริญญาตรีบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย
ABC จะได้เงินเดือน 18,000 บาท
ถ้าจบวุฒิเดียวกันแต่จบจากมหาวิทยาลัย DEF จะได้เงินเดือน 17,000
บาท และถ้าจบบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย GHIJK จะได้เงินเดือน 15,000 บาท
แถมถ้าได้เกียรตินิยมอันดับสองจะได้เพิ่มอีก 5% ของเงินเดือน
และถ้าใครจบเกียรตินิยมอันดับ 1 จะได้รับเงินเดือนเพิ่มอีก 10%
โดยได้รับเงินเดือนที่แตกต่างกันนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน
แถมในองค์กรหลายแห่งก็ไม่เคยมีการทดสอบคุณสมบัติของผู้สมัครงานว่ามีความรู้หรือมีทักษะหรือศักยภาพที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นหรือไม่
แม้แต่การสัมภาษณ์ก็ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบจิตสัมผัส (Unstructured
Interview) โดยใช้ความรู้สึกหรือความพอใจของผู้สัมภาษณ์มาเป็นตัวตัดสินใจรับเข้าทำงานเสียอีก
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วองค์กรจะพิสูจน์ได้ยังไงล่ะครับว่าคนที่จบมหาวิทยาลัย
ABC ทุกคนจะทำงานได้ดีกว่าทุกมหาวิทยาลัย
?
คำถามก็คือ “คนที่ทำงานได้ดี
มีความรู้ความสามารถมีทักษะหรือมีศักยภาพเหมาะสมกับงานนั้น จะขึ้นอยู่กับสถาบันที่เขาจบมาหรือครับ
?”
หลายครั้งที่ผมพบว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังก็ไม่ได้ทำงานได้ดีไปกว่าคนที่จบวุฒิเดียวกันแต่ต่างมหาวิทยาลัย
หรือคนที่จบมาด้วยเกรดเกียรตินิยมก็ไม่ได้ทำงานดีไปกว่าคนที่จบด้วยเกรด 2.00
ถ้าเป็นอย่างงี้แล้วองค์กรจะจ่ายแพงกว่าเพื่อ....??
สมัยที่ผมยังเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล
เคยมี MD
(Managing Director-กรรมการผู้จัดการ) บางคนชอบมาพูดกับผมว่า “นี่คุณ..เด็กคนนี้ (บอกชื่อพนักงาน) เขาจบมาจากที่ไหนน่ะเขาทำงานดีนะ” หรือเวลาไม่ชอบใจพนักงานใหม่บางคนก็จะมาบอกกับผมว่า
“เด็กคนนี้จบมาจากที่ไหนเนี่ยะทำงานไม่เห็นได้เรื่องเลย”
ผมต้องอธิบายให้แกเข้าใจว่าคนที่ทำงานดีหรือไม่ดีนั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถาบันหรือเกรดเฉลี่ยที่เขาจบมาหรอกครับ แต่มันขึ้นอยู่กับ “Competency” หรือ K S A (Knowledge-ความรู้ในงาน
S-Skill-ทักษะในงานที่ต้องรับผิดชอบ และ A-Attributes-คุณลักษณะนิสัยในงานที่ทำเช่นความอดทน, ความละเอียดรอบคอบ ฯลฯ) ต่างหาก
หรือจะพูดแบบง่าย ๆ
คือ….
คนที่ทำงานดีทำงานเก่งจะขึ้นอยู่กับตัวของคน
ๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นกับสถาบันหรือเกรดที่จบครับ
ดังนั้น การกำหนดค่าตอบแทนหรือเงินเดือนของพนักงานในกรณีจบใหม่จึงควรจะมีการทดสอบหรือมีการสัมภาษณ์ให้แน่ใจเสียก่อนว่าผู้สมัครงานคนไหนมี
K S A เหมาะตรงกับตำแหน่งที่องค์กรต้องการจะรับเข้าทำงานอย่างแท้จริง ถ้าผู้สมัครคนไหนผ่านการทดสอบว่ามีความเหมาะสมกับตำแหน่งแล้วองค์กรจะมาจ่ายเพิ่มให้ตามสถาบันหรือตามเกรดที่จบก็ค่อยมาคิดกันดูว่าแค่ไหนถึงจะเหมาะสม
แต่ถ้าองค์กรไม่เคยมีการทดสอบอะไรที่เกี่ยวข้องกับ
K S A
ในตำแหน่งนั้น ๆ เลยแล้วก็มาใช้ “หลักกู” หรือความรู้สึกเอาเองว่า
คนจบมาจากมหาวิทยาลัยนี้จะต้องเก่งทุกคน คนจบเกียรตินิยมจะทำงานดีกว่าทุกคนก็เลยมากำหนดอัตราเริ่มต้นให้สูงกว่าคนอื่น
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วล่ะก็นอกจากบริษัทจะจ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็น
(Over
Pay) แล้ว ยังทำให้ Staff Cost สูงขึ้นโดยเปล่าประโยชน์
แถมยังทำให้เกิดปัญหาแรงงานสัมพันธ์ตามมาคือมีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่า แบ่งสี แบ่งสถาบันกันในองค์กรทำให้
Teamwork มีปัญหามากขึ้นมาอีก
คำถามปิดท้ายของเรื่องนี้ก็คือ….
“วันนี้องค์กรของท่านมีการจ่ายเงินเดือนพนักงานเข้าใหม่แบบที่ผมบอกมาข้างต้นโดยใช้หลักกูอยู่หรือเปล่า
และถ้าใช้หลักกูในการจ่าย….ท่านคิดจะปรับปรุงแก้ไขให้เป็นจ่ายตามหลักความเสมอภาคและเป็นธรรมแล้วหรือยังครับ
?”
………………………………….