ผมมักจะได้ยินผู้บริหารระดับต้นไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงบ่นให้ฟังอยู่บ่อยครั้งในทำนองว่า
“เด็กสมัยนี้ทำงานไม่อดทน ไม่สู้งาน ทำงานแป๊บเดียวก็ลาออกแล้ว
ดูสิ..นี่ก็ต้องสัมภาษณ์หาคนใหม่มาแทนอีกไม่รู้จะเป็นเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า....ฯลฯ”
พอได้ยินคำบ่นทำนองนี้ผมมักจะต้องถามกลับไปอยู่บ่อยครั้งว่า
“บริษัทมีการปฏิบัติกับพนักงานใหม่ (ที่ผมขอเรียกว่า “น้องใหม่” นะครับ) ยังไงกันบ้าง ?”
หลายครั้งก็จะได้ยินวิธีการรับน้องใหม่ที่ผมอยากจะเอามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านในวันนี้ด้วยนะครับว่า
บริษัทของท่านมีวิธีการรับน้องใหม่อย่างที่ผมจะพูดต่อไปนี้บ้างหรือไม่
1. บริษัทไม่เคยมีการปฐมนิเทศ
หรือแจ้งให้น้องใหม่รู้เรื่องอะไรเลยในวันแรกที่เข้าทำงาน
ผมเชื่อว่าท่านคงจำบรรยากาศการทำงานในวันแรกได้นะครับ
เราเป็นพนักงานใหม่ไม่รู้จักใครเลยในบริษัทนี้ แล้วเราก็ก้าวเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ตอนเช้าซึ่งเราอาจจะไปเช้ามาก
ไปก่อนใครจนรปภ.มาถามว่า “มาติดต่อใคร” เราก็บอกว่ามาเริ่มงานวันแรก
เขาก็ให้เราไปนั่งบริเวณที่รับแขก
แล้วหลังจากนั้นเมื่อมีพนักงานทะยอยมาทำงานก็จะเดินผ่านเราไปมา
ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนมองไม่เห็นเรา หรือเราเป็นมนุษย์ล่องหนไม่มีตัวตนทำนองนั้น
ซ้ำร้ายกว่านั้นแม้แต่ฝ่ายบุคคล (ซึ่งคงไม่ใช่คนที่เป็นมืออาชีพด้านนี้แต่คงเป็นใครสักคนที่บริษัทอุปโลกน์ให้เป็น
“HR”
แล้วทุกคนก็เชื่อสนิทใจว่าคน ๆ นั้นคือ HR) ก็ไม่ได้พาไปแนะนำตัวกับหัวหน้าในหน่วยงานที่น้องใหม่จะต้องไปทำงาน
(แน่นอนว่าไม่มีการปฐมนิเทศบอกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับบริษัทหรือเกี่ยวกับงานที่ต้องรับผิดชอบ)
อาจจะมีเพียงใครสักคนในฝ่ายบุคคล
หรือคนในหน่วยงานนั้น ๆ มาเรียกให้น้องใหม่เดินตามไปแล้วพาไปที่แผนกที่น้องใหม่ไปทำงานแล้วก็บอกว่าให้เข้าไปพบกับพี่คนนั้นแหละที่แกกำลังสั่งงานลูกน้องอยู่นั่นแหละ
พอน้องไปเดินไปหาพี่คนที่ว่านั้นก็อาจจะแค่รับไหว้ทักทายแล้วก็บอกให้ไปช่วยพี่อีกคนทำงาน
(งานอะไรก็ยังไม่บอกให้ชัดเจน) ไม่มีการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ หรือสรุปงานให้น้องใหม่ได้มีความเข้าใจเบื้องต้น
หรือแม้แต่ JD
(Job Description) ก็ไม่มีให้น้องใหม่ได้อ่านว่าเขาจะต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง
ลองคิดกลับกันว่าถ้าเราเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบริษัทแห่งนี้บ้าง
เราจะคิดยังไง ?
2. ไม่มีแผนการสอนงานที่ชัดเจน
ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องมาจากข้อแรกน่ะครับ
เพราะเมื่อมีการรับน้องใหม่แบบที่ผมอธิบายในข้อ 1 ไปแล้วหัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ
ก็คงจะมอบหมายให้ใครสักคนมาสอนงานน้องใหม่ ซึ่งคนที่มาสอนงานน้องใหม่อาจจะได้รับการอุปโลกน์แบบให้ดูดีก็เรียกว่าเป็น
“พี่เลี้ยง” แต่ที่สำคัญคือพี่เลี้ยงที่จะต้องเป็น “ครู” สอนงานน้องใหม่ก็ดันไม่มี “แผนการสอนงาน”
น่ะสิครับ คำว่าแผนการสอนงานที่ผมพูดถึงนี้อธิบายอย่างง่าย ๆ คือ
ควรจะต้องมีแผนที่ชัดเจน เช่น
1. เราจะสอนงานเรื่องอะไรให้น้องใหม่ได้รู้บ้างมีกี่เรื่องกี่หัวข้อที่สำคัญ
ๆ
2. ในแต่ละเรื่องแต่ละหัวข้อที่สอนน่ะมีเนื้อหา (Outline)
อะไรบ้าง
3. แต่ละหัวข้อที่จะสอนนั้นใช้เวลาสอนกี่ชั่วโมงหรือกี่วันโดยประมาณ
4. กำหนดเป้าหมาย หรือ KPIs ในการสอนงานให้ชัดเจนบ้างไหมเช่น
เมื่อสอนงานเสร็จแล้วน้องใหม่จะต้องผลิตสินค้าให้ได้ 50 ชิ้นต่อชั่วโมง
ถ้าสอนงานเสร็จแล้วน้องใหม่ยังทำไม่ได้ตามนี้ต้องมาดูกันแล้วว่าเกิดปัญหาอะไรทำไมถึงทำไม่ได้ตามเป้าหมายเพื่อแก้ไขต่อไป
5. แต่ละเรื่องที่จะสอนนั้นควรจะสอนเมื่อไหร่ เช่น
สอนภายในสัปดาห์แรกหรือภายในสองสัปดาห์แรกเป็นต้น
6. ใครเป็นผู้รับผิดชอบการสอนงาน
ถ้าหน่วยงานหรือบริษัทไหนไม่มีแผนการสอนงานอย่างที่ผมบอกมานี้
ก็บอกได้เลยครับว่าการสอนงานน้องใหม่จะเป็นแบบมั่ว ๆ เป็นการบอก ๆ หรือชี้ ๆ ให้ทำ
ไม่มีแบบแผนการสอนงานที่ชัดเจนแบบมืออาชีพ จะทำให้น้องใหม่สับสน
หรือทำงานผิดพลาดในอนาคตอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ
ว่าก็แม่ปูยังเดินไม่ตรงแล้วจะให้ลูกปูเดินตรงได้ยังไงล่ะครับ
หลายบริษัทยังไม่เคยมีแผนการสอนงานอย่างที่ผมยกตัวอย่างข้างต้นเลยนะครับ
ยังเป็นการสอนงานแบบขายผ้าเอาหน้าลอดไปตามสถานการณ์แต่ละครั้งที่มีน้องใหม่เข้ามากันอยู่เลย
3. ผู้คนในแผนกที่น้องใหม่ไปเริ่มงานหรือในบริษัทไม่ทักทาย
หรือมีกิริยาอาการต้อนรับ
อันนี้ก็จะเห็นได้บ่อย
ๆ นะครับ คือพนักงานเก่าที่อยู่มาก่อนก็จะมองน้องใหม่เหมือนมนุษย์ต่างดาวหรือตัวอี.ที.อะไรทำนองนั้น ซึ่งผมว่าการที่พนักงานเก่าเข้ามาทักทาย
โอภาปราศัย
สร้างความอบอุ่นเป็นกันเองในครั้งแรกที่น้องใหม่ก้าวเข้ามาจะเป็นความรู้สึกประทับใครครั้งแรก
(First
Impression) ที่ดีนะครับ
แม้ว่างานของพนักงานเก่าจะยุ่งวุ่นวายก็จริงอยู่
แต่การพูดจาทักทายให้น้องใหม่คลายกังวลน่ะจะดีกว่าการมองผ่าน ๆ นะครับ
ยิ่งเมื่อถึงช่วงพักเที่ยงยิ่งควรจะออกปากชักชวนน้องใหม่ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันยิ่งจะเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันในวันแรกที่พนักงานเก่าหลายคนไม่เคยทำ
ปล่อยน้องใหม่ให้เคว้งคว้างไม่รู้จะไปไหนดี หรือไปหาที่กินข้าวกลางวันคนเดียวจริงไหมครับ
ผมขอยกตัวอย่างวิธีปฏิบัติกับน้องใหม่แบบที่ไม่ควรจะทำมาให้ดูเป็นตัวอย่างสัก
3 ข้อข้างต้นก่อน เพื่อที่จะได้เป็นกระจกเงาสะท้อนไปยังบริษัทที่บ่นว่า
“เด็กรุ่นใหม่ทำงานไม่อดทน อยู่ไม่นานก็ลาออก” นั้นน่ะ ในบริษัทนั้น ๆ มีการปฏิบัติกับน้องใหม่อย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง
คำ
ๆ หนึ่งที่ผมมักจะพูดถึงเสมอในการบริหารงานบุคคลคือ “ใจเขา-ใจเรา”
ซึ่งผมอยากให้ท่านผู้บริหารลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเราและลองคิดในมุมของน้องใหม่บ้างเพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขปัญหาในการทำงานร่วมกันได้ราบรื่นขึ้นนะครับ
ผมเชื่อว่าข้อคิดทั้งสามข้อข้างต้นคงจะเป็นการจุดประกายความคิดให้กับบริษัทของท่านให้เริ่มทำอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับน้องใหม่เพื่อลดการลาออกของน้องใหม่ได้บ้างแล้วนะครับ
…………………………………