ผมว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าสนใจและเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเลยนะครับ
ซึ่งพอพูดกันถึงเรื่องนี้ผมก็เชื่อว่าต่างคนต่างก็จะมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ที่แตกต่างกันออกไป
เราลองมาดูกันสิครับว่าแต่ละทางเลือกข้างต้นนี้จะมีข้อดี-ข้อเสียยังไงบ้าง
ก.
หางานใหม่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยลาออก
ข้อดีของทางเลือกนี้
1.
เรายังมีงานและมีเงินเดือน (จะเรียกว่า
“ของตาย” ก็ได้นะครับ) รองรับอยู่ ถ้ายังไม่ได้งานใหม่ เราก็ยังทำงานที่เดิมไปพลาง
ๆ ก่อนได้ ถ้าบริษัทใหม่ที่เราไปสมัครงานหรือสัมภาษณ์ไว้เขาตอบรับแล้วเราค่อยมาตัดสินใจอีกทีหนึ่ง
2.
ยิ่งไปสมัครงานไว้หลายแห่ง ยิ่งมีตัวเลือกให้เปรียบเทียบได้แบบไม่ต้องรีบร้อน
เพราะยังไงก็มีงานในปัจจุบันรองรับอยู่
3.
ยังมีอำนาจในการต่อรองตำแหน่ง, เงินเดือน
ฯลฯ ดีกว่าไม่มีงานอะไรทำในตอนนี้ แถมภาพลักษณ์จะดูดีกว่าการเป็นคนตกงาน
ข้อเสียของทางเลือกนี้
1.
การออกไปหางาน, ไปสัมภาษณ์
หรือติดต่องานกับที่ใหม่ค่อนข้างลำบากสักหน่อย เพราะถ้าลาหยุดไปบ่อยจนผิดสังเกต
หัวหน้าจับได้ ข่าวรั่วไหล ฯลฯ ก็อาจจะโดนหัวหน้าหรือฝ่ายบริหารหมายหัวไว้ว่าเป็นคนไม่รักองค์กรคิดหาทางตีจาก
ทำให้มีผลต่อการขึ้นเงินเดือน, โบนัส, โอกาสความก้าวหน้า ฯลฯ
2.
ถ้าบริษัทที่ใหม่ต้องการคนที่มาทำงานเร็ว
ก็อาจจะไปไม่ได้เพราะต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้าตามระเบียบกับที่ปัจจุบัน
ไหนยังต้องรอให้บริษัทหาคนใหม่มาแทน และสอนงานคนใหม่ให้รู้เรื่องแล้วส่งมอบงานกันให้ดีเสียก่อน
(นี่ผมพูดถึงคนที่มีความรับผิดชอบที่ทำตามกฎระเบียบของบริษัทและอยากจะลาออกจากกันด้วยดีนะครับ)
ซึ่งแน่นอนว่าจะสะบัดก้นไปทันทีก็คงไม่งามแน่ ๆ
ข.
ลาออกแล้วค่อยหางานใหม่
ข้อดีของทางเลือกนี้
1.
มีเวลาหางานใหม่ได้อย่างเต็มที่
ไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบเจ้านายออกมาหางาน
ไม่ว่าบริษัทแห่งใหม่จะนัดทดสอบข้อเขียน
สอบสัมภาษณ์กี่ครั้ง เมื่อไหร่ ก็พร้อมจะไปตามนัดได้อย่างสบายใจ
2.
ถ้าบริษัทแห่งใหม่ต้องการคนที่พร้อมจะมาเริ่มงานได้เร็ว
เราก็พร้อมจะมาทำงานให้เขาได้อย่างทันใจเช่นเดียวกัน เพราะว่างงานอยู่แล้วตอนนี้
3.
มีเวลาในการเตรียมตัวสำหรับการไปสมัครงานในที่แห่งใหม่ได้เต็มที่
เช่น หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทแห่งใหม่, การเตรียมทำเรซูเม่ (Resume) ให้ดูดีมีชาติตระกูลทำให้น่าสนใจ,
การเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ในที่ใหม่
ฯลฯ
ข้อเสียของทางเลือกนี้
1.
อำนาจต่อรองลดลงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตำแหน่ง,
เงินเดือน ฯลฯ จะลดลง เพราะที่แห่งใหม่มักจะเห็นว่าตอนนี้ผู้สมัครงานก็ว่างงานอยู่
(พูดภาษาชาวบ้านว่า “หลังลอย” ไม่มีแบ็คอัพก็ได้มั๊งครับ)
ก็เลยกดเงินเดือนที่ผู้สมัครต้องการลงได้อีก
2.
ทั้ง HR หรือผู้บริหารที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ในบริษัทแห่งใหม่ที่ไปสมัครงานเขาก็คงจะต้องมีคำถามนะครับว่า
ทำไมถึงต้องลาออกมาก่อนแล้วค่อยมาหางานใหม่มีปัญหาอะไรในที่ทำงานเดิมมากมายหรือเปล่า
เผลอ ๆ กรรมการสัมภาษณ์บางท่านอาจจะ “มโน” ไปไกลขนาดว่าผู้สมัครรายนี้เป็นคนจับจด
ไม่อดทน ไม่สู้งาน เอะอะไม่พอใจก็ลาออกมาโดยไม่แคร์ว่าจะมีงานรองรับหรือเปล่า แล้วถ้ามาอยู่กับบริษัทของเราแล้วเขาทำอย่างนี้กับบริษัทของเรา
มิวุ่นวายต้องมาหาคนใหม่กันกระทันหันทำนองนี้อีกหรือ ฯลฯ แล้วแต่จะมโนกันไปนะครับ
ซึ่งความคิดทำนองนี้คงไม่เป็นผลดีนักกับผู้สมัครงาน แถมถ้าผู้สมัครงานตอบคำถามเหล่านี้ได้ไม่สมเหตุสมผลล่ะก็โอกาสได้งานยิ่งลดน้อยลงไปอีก
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครรายอื่นที่ยังมีงานทำอยู่ในตอนนี้จริงไหมครับ
เป็นยังไงบ้างครับกับข้อดี-ข้อเสียของทั้งสองทางเลือกที่ผมยกมาข้างต้น
คงจะพอเป็นข้อคิดให้ท่านที่กำลังคิดจะหางานใหม่ได้เอาไว้ตัดสินใจได้ดีขึ้นแล้วนะครับว่าจะเลือกทางไหนถึงจะดีที่สุดสำหรับตัวของท่านเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะฝากไว้สำหรับท่านที่กำลังคิดที่จะลาออกก็คือ
อะไรคือปัญหาและสาเหตุที่แท้จริงของความคิดที่อยากจะลาออกจากที่ทำงานปัจจุบันซึ่งเราได้ให้เวลา
รวมถึงได้อดทนพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง แล้วเราได้คิดตัดสินใจด้วยเหตุและผลอย่างดีแล้ว
โดยไม่ใช่ด้วยการตัดสินใจแบบอารมณ์ชั่วแล่น
เพราะอนาคตย่อมขึ้นอยู่กับปัจจุบันที่ท่านตัดสินใจ....ขอให้ท่านตัดสินใจได้ถูกต้องครับ
.........................................