วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความขัดแย้งในองค์กร...มีวิธีจัดการอย่างไร? (ตอนที่ 1)

บทนำ
            เมื่อพูดถึงความขัดแย้งในองค์กร ผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านจะต้องเคยผ่านเรื่องราวและได้รับประสบการณ์หรือได้รับผลจากความขัดแย้งแตกต่างกันไป หนักบ้างเบาบ้างใช่ไหมครับ ? ซึ่งพอเอ่ยคำว่า ความขัดแย้ง ผมมั่นใจว่าทัศนคติของคนจะรู้สึกว่าเป็นลบ (หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดี) มากกว่าเป็นบวกจริงไหมครับ ?
            หากเราทำใจให้นิ่ง ๆ และว่าง ๆ แล้วลองพิจารณาย้อนกลับไปดูว่าความขัดแย้งที่เราเคยผ่านพบมานั้นให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง หากเราลองคิดดูให้ดี ๆ แล้วจะพบว่าความขัดแย้งนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงด้านเดียว หากแต่ยังมีประโยชน์ที่เกิดจากความขัดแย้งอีกด้วย
            ถ้าท่านไม่เชื่อลองอ่านตามมาสิครับ
ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับความขัดแย้งกันก่อน
            เมื่อพูดถึงความขัดแย้งแล้ว แน่นอนครับว่าเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ต้องการ  แต่ก็แปลกไหมครับที่สิ่งที่คนทั่วไปไม่ต้องการหรือไม่อยากให้เกิดขึ้นนั้น ยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น ?
            เพราะอะไรหรือครับ
            พระพุทธองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่าคนเราที่อยู่กันมากกว่า 1 คนขึ้นไปก็เปรียบเสมือนกำไลที่สวมข้อมือมากกว่า 2 วงที่ย่อมมีโอกาสจะกระทบกระทั่งกันได้เสมอ ฉันใดก็ฉันนั้น ความขัดแย้งของคนจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคลต่อบุคคล ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ความขัดแย้งระหว่างองค์กร ไปจนถึงความขัดแย้งระดับประเทศชาติ ซึ่งจะมีตัวอย่างให้เราเห็นได้อยู่เสมอ ๆ
ความขัดแย้งคืออะไร ??
            ได้มีนักวิชาการด้านพฤติกรรมศาสตร์ และด้านจิตวิทยาหลาย ๆ ท่านได้ให้ความหมายของความขัดแย้งไว้ต่าง ๆ กันดังนี้
            ความขัดแย้งเป็นกระบวนการที่เกิดจากความพยายามของฝ่ายหนึ่งที่ไปขัดขวางความพยายามของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามบรรลุเป้าหมาย หรือได้รับความก้าวหน้า หรือผลประโยขน์ตามที่ต้องการด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง (Stephen P.Robbin,1991, Managing Conflict)
            “ความขัดแย้งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นตอน ๆ ในแต่ละตอนจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามลำดับดังนี้ ความขัดแย้งที่เกิดจากความคับข้องใจของอีกฝ่ายหนึ่งที่เกิดจากการที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งกระทำ การกระทำที่ก่อให้เกิดความคับข้องใจ เช่น ไม่เห็นด้วย ไม่ช่วยเหลือ ดูถูก เอาเปรียบ ให้ร้าย ไม่อนุมัติ เป็นต้น
 ผลของความคับข้องใจจะทำให้เกิดมโนทัศน์เกี่ยวกับความขัดแย้ง คู่กรณีจะเข้าใจธรรมชาติของความขัดแย้งแต่การรับรู้ของบุคคลเป็นจิตวิสัยและมักลำเอียง ดังนั้นจึงจะหาหลักฐานหรือเหตุผลมาประกอบว่าการรับรู้ของตนที่มีต่อความขัดแย้งนั้นถูกต้อง คนที่พบกับความขัดแย้งจะคิดหาวิธีแก้ปัญหา หรือเมื่อพบกับความขัดแย้งจะพยายามหาทางออก คนส่วนใหญ่จะหาทางออกด้วยการเอาแพ้เอาชนะมากกว่าอย่างอื่น
เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นบุคคลจะแสดงพฤติกรรมออกมา พฤติกรรมที่แสดงออกมาจะเป็นการเอาชนะ ต่อรอง ร่วมมือ หลีกเลี่ยง หรือผ่อนปรนเข้าหากัน (Thomas and Kilmann,1978,Thomas-Kilmann Conflict mode Interest)
            ซึ่งความหมายของความขัดแย้งของนักคิดและนักปฏิบัติท่านอื่น ๆ ก็มีความหมายไปในส่วนที่คล้ายแนวในข้างต้นที่ผมยกตัวอย่าง
            จากความสลับซับซ้อนในเรื่องของความขัดแย้งนี้จึงนำไปสู่แนวทางใหญ่  ๆ 2 แนวทางคือ
-                    หากเห็นว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งไม่ดีแล้ว เราควรจะขจัดความขัดแย้งหรือแก้ไขมันหรือไม่
-                    หากความขัดแย้งเป็นสิ่งที่พึงต้องการ เราควรที่จะกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง แต่ทำให้อยู่ภายในขอบเขตหรือไม่

เพราะหลาย  ๆ คนเชื่อว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งไม่ดีสมควรที่จะต้องขจัดออกไปให้หมดไม่ให้มีเหลือไว้ในองค์กร ในขณะที่คนอีกไม่น้อยก็เชื่อว่าความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องไม่ดีเพียงด้านเดียว แต่ข้อดีของความขัดแย้งทำให้คนคิดเห็นไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดการแข่งขัน เกิดการกระตุ้นความคิด เป็นความท้าทาย ทำให้เกิดนวัตกรรม หรือสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ ที่ทำให้องค์กรพัฒนาไปได้ และอยู่รอดได้ในท่ามกลางการแข่งขันต่างหาก
            เห็นไหมครับว่าอานุภาพของ ความขัดแย้ง นี้มีไม่น้อยเลยทีเดียว แค่พูดถึงประโยชน์และโทษของความขัดแย้งก็จะทำให้คนขัดแย้งแย้งกันได้แล้วใช่ไหมครับ
            เรามาลองตามดูกันต่อสิครับ
รูปแบบของความขัดแย้ง
            ยังมีนักจิตวิทยาชาวเยอรมันท่านหนึ่งคือ เคิร์ด เลวิน (Kurt Lewin) ซึ่งต่อมาได้ไปอาศัยตั้งรกรากอยู่ในสหรัฐอเมริกา จำแนกรูปแบบของความขัดแย้งที่เรียกกันว่า “Field Theory” ออกเป็น 3 แบบ คือ

1.      เมื่อคนเราอยู่ระหว่างของสองสิ่งที่ตนเองชอบ และจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
(เพียงอย่างเดียวนั้น) เช่น เราให้ลูกเลือกว่าจะรับประทานไอศครีม หรือขนมเค้ก เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งลูกชอบทั้งสองอย่าง เราเรียกความขัดแย้งแบบนี้ว่า “Approach-Approach Conflict” แปลแบบไทย ๆ ว่า รักพี่เสียดายน้อง ก็คงจะได้กระมังครับ
2.      เมื่อคนเราอยู่ระหว่างของสองสิ่งทั้งที่ตนเองชอบและไม่ชอบในเวลาเดียวกัน เช่น เรา
ไม่ชอบอยู่ทำงานดึก ๆ หรือทำงานในวันหยุด แต่เราก็อยากได้ค่าล่วงเวลา (โอที) หรือไม่ชอบงานที่ทำอยู่ปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกันเงินเดือนที่รับอยู่ในปัจจุบันก็ไม่น้อยเหมือนกัน (ชอบเงินแต่ไม่ชอบงาน) จะเรียกรูปแบบนี้ว่า Approach-Avoidance Conflict” หรือ เรียกเป็นไทย ๆ ว่า เกลียดตัวกินไข่..เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ประมาณนี้แหละครับ
3.      เมื่อคนเราอยู่ระหว่างสองสิ่งที่ตนเองไม่ชอบทั้งคู่ เช่น เราต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาแถม
ยังไม่ได้ค่าล่วงเวลาอีกต่างหาก (เพราะบริษัทมีนโยบายให้ช่วย ๆ กัน) ถ้าเราไม่ทำงานล่วงเวลาอาจจะถูกมองจากหัวหน้าว่าไม่ให้ความร่วมมือ เป็นต้น รูปแบบนี้จะเรียกว่า “Avoidance-Avoidance Conflict” หรืออาจเรียกว่าเป็นความขัดแย้งแบบ หวานอม..ขมกลืน ครับ
หลาย  ๆ ท่านคงเคยพบรูปแบบของความขัดแย้งในลักษณะข้างต้นมากันบ้างแล้วใช่ไหมครับ

ว้า....เนื้อที่หมดพอดี เอาไว้คุยกันต่อเรื่องความขัดแย้งกันต่อในตอนต่อไปนะครับ

.........................................