วันนี้ผมนำเอาเรื่องของจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลมาเล่าสู่กันฟังอีกแล้ว
หวังว่าท่านคงยังไม่เบื่อกันนะครับ
เรื่องนี้ถ้าใครเคยเรียนจิตวิทยาก็ต้องเคยได้ยินมาแล้วแหละ
ทฤษฎี
X และทฤษฎี Y ของ แมคเกรเกอร์ (Douglas
McGregor พศ.2449-2507) นักจิตวิทยาสังคมชื่อดังและได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกด้านการบริหารจัดการยังไงล่ะครับ
แมคเกรเกอร์เขียนต้นฉบับทฤษฎี
X และ Y ในต้นปี 2507 แต่เขาเสียชีวิตกระทันหันด้วยโรคหัวใจวายก่อนที่จะมีการพิมพ์ต้นฉบับเสร็จในช่วงปลายปี
แมคเกรเกอร์บอกว่ารูปแบบของการบริหารมีอยู่
2 แบบคือ....
คนที่มีลักษณะตามทฤษฎี
X จะมีรูปแบบของการเป็นเผด็จการ ส่วนคนที่มีลักษณะตามทฤษฎี Y จะมีรูปแบบของการเปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วม
ซึ่งคนที่เป็นผู้บริหารแบบทฤษฎี X จะมีความเชื่อว่า....
-
โดยธรรมชาติของคนจะไม่ชอบทำงาน
และจะพยายามหลีกเลี่ยงงานถ้าทำได้
-
ดังนั้นจึงต้องมีการบังคับ ควบคุม สั่ง
(เผลอ ๆ อาจจะต้องถึงกับขู่) ให้คนทำงาน และหากคนยังไม่ขยันก็จะต้องใช้วิธีการลงโทษเพื่อให้เกิดความเกรงกลัว
แต่ถ้าใครทำงานดีก็จะมีการให้รางวัลโดยเน้นเงินเป็นหลักเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายให้ได้
ผู้บริหารตามทฤษฎีนี้จะมุ่งเป้าหมายผลสำเร็จของงานเป็นหลัก
ส่วนคนที่เป็นผู้บริหารแบบทฤษฎี
Y
จะมีความเชื่อว่า....
-
คนเราทำงานก็เหมือนกับการเล่น
หรือการพักผ่อน คนทั่วไปก็อยากจะทำงานอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
-
ดังนั้นการข่มขู่
หรือบังคับให้คนทำงานจึงไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะแต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง
-
หากมีการให้รางวัลหรือมีผลตอบแทนที่ดีก็จะทำให้คนเกิดความตั้งใจและเกิดแรงจูงใจในการทำงานที่ดีตามไปด้วย
-
หากมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสมแล้ว
คนก็จะแสวงหาความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้นและมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
-
คนเราทุกคนจะมีความเฉลียวฉลาดมีจินตนาการและมีความคิดริเริ่มในการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ อยู่แล้วและจะสนุกไปกับงานที่ทำเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของหัวหน้า ผู้บริหารตามทฤษฎีนี้จะมุ่งคนเป็นหลัก
จากทฤษฎี X และ
Y ในวันก่อนเมื่อเรามาพูดกันในศัพท์ของวันนี้ท่านคงจะเห็นว่าทฤษฎี
X จะมองคน
ในแง่ร้ายสักหน่อย ส่วนทฤษฎี Y จะมองคนแบบโลกสวยก็ได้มั๊งครับ
!!
แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่เป็นแบบ
X จะเลวร้าย หรือคนที่เป็นแบบ Y จะเป็นเทวดา !!??
แต่ละแบบจะมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง
ไม่มีแบบใดดีเลิศหรือแบบใดแย่สุด
ถ้ามองให้ดีแล้วก็จะเห็นเป็นสัจธรรมได้ว่าคนที่เป็นหัวหน้าเป็นผู้บริหารจำเป็นจะต้องสมดุลวิธีบริหารจัดการคนระหว่างทฤษฎี
X และ Y ให้ดี
เพราะถ้าบริหารลูกน้องด้วยวิธีคิดแบบ
Y
มากจนเกินไปจนขาดการควบคุม งานก็อาจไม่บรรลุเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปเจอลูกน้องเกเร
จอมอู้งาน คอยเกี่ยงงาน ฯลฯ
แต่ถ้าบริหารลูกน้องด้วยวิธีคิดแบบ
X
มากจนเกินไปก็จะทำให้ลูกน้องขาดการมีส่วนร่วม
จะทำงานตามที่หัวหน้าสั่งเท่านั้น ลูกน้องไม่อยากจะออกความคิดเห็นให้ทีมงานหรือให้หัวหน้ารู้เพราะคิดว่าพูดไปก็เท่านั้น
ยังไงพี่เขาก็จะให้ทำตามอย่างที่เขาต้องการเท่านั้น งานอาจจะบรรลุตามเป้าหมายได้ก็จริงแต่คนที่เป็นลูกน้องจะทำงานไปด้วยความหวาดระแวงว่าหัวหน้าจะคอยจ้องจับผิดและกลัวว่าถ้าทำงานพลาดจะถูกลงโทษอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งเป็นลูกน้อง Gen
Y รุ่นใหม่ไฟแรงก็พาลจะไม่อยากจะอยู่กับหัวหน้าแบบเผด็จการแบบ X
เรื่องนี้จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายคนที่เป็นหัวหน้าทุกคนว่าจะสามารถสมดุลตัวเองระหว่างทฤษฎี
X ที่มุ่งงานเป็นหลักต้องมีการควบคุมคนเพื่อให้ลูกน้องทำงานอย่างเต็มที่
หรือทฤษฎี Y ที่มุ่งคนเป็นหลักโดยมุ่งความร่วมมือร่วมใจ และหาวิธีกระตุ้นจูงใจให้คนทำงานแทนที่จะใช้วิธีออกคำสั่ง
บังคับและควบคุม
แล้วท่านล่ะครับเป็นคนแบบ
X หรือ Y ลองสำรวจตัวเองดูนะครับ
ส่วนวิธีการสมดุลระหว่าง
X และ Y คงจะต้องเป็นศิลปะของแต่ละคนที่จะต้องเลือกมาใช้ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ
บุคคล และสถานการณ์
ขอให้ท่านหาสมดุลในตัวเองให้เจอนะครับ.
……………………………..