ในตอนที่แล้วผมอธิบายให้ท่านทราบแล้วว่าการสัมภาษณ์แบบ
Structured
Interview คือยังไงคราวนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องของการสังเกต “ภาษากาย”
ของผู้สมัครงานที่มีความสำคัญไม่แพ้หลักการสัมภาษณ์แบบ Structured
Interview เลยนะครับ
เมื่อเราได้มีการตั้งหรือเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้าก่อนการสัมภาษณ์แบบ
Structured
Interview แล้ว ผมเชื่อว่าผู้ที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์หลาย ๆ
ท่านคงจะให้ความสำคัญกับการพูดจาซักถามโต้ตอบ หรือมุ่งอยู่กับตัวคำถามและคำตอบเป็นหลักว่าผู้สมัครตอบเป็นยังไง
เข้าเป้าหมายที่เราต้องการจะรู้หรือไม่ ใครตอบคำถามได้ดีกว่ากัน ฯลฯ
ซึ่งบางครั้งกรรมการสัมภาษณ์อาจจะติดใจหรือพึงพอใจในสำนวน
โวหาร น้ำเสียง
ท่วงทำนองการพูดที่น่าฟังของผู้สมัครงานจนลืมการสังเกตภาษากายของผู้สมัครงานประกอบการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดไป
และในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่ตอบคำถามได้ดูน่าเชื่อถือหรือสามารถนำเสนอได้เก่งเข้ามาทำงานโดยไม่ได้สังเกตว่าภาษากายรวมถึงบุคลิกภาพของผู้สมัครสอดคล้องกับคำตอบ
หรือเหมาะสมกับตำแหน่งงาน, หน่วยงาน หรือบริษัทหรือไม่
เรียกว่ากรรมการสัมภาษณ์ “เห็น”
แต่ไม่เคย “สังเกต” ภาษากายของผู้สมัครงาน !!
เพราะภาษากายมีอิทธิพลมากกว่าการพูดหรือน้ำเสียง..
ขออนุญาตยกคำพูดจากหนังซีรีย์ฝรั่งเรื่องหนึ่งคือเรื่อง
Lie
to me ที่บอกไว้ว่า
“Words lie. Your
face doesn’t”
แปลง่าย ๆ
ว่าคำพูดน่ะโกหกกันได้ แต่สีหน้า (หรือภาษากาย) น่ะโกหกกันยาก
หมายความว่ากรรมการสัมภาษณ์ควรจะต้องฝึกฝนการอ่านภาษากายของผู้สมัครงานไว้ด้วย
ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ถามแล้วก็ก้มหน้าก้มตาอ่านแต่ใบสมัครงาน, อ่านคำถาม หรือไม่สบตาสังเกตดูว่าคำตอบกับสีหน้า
แววตา ภาษาการของผู้สมัครงานสอดคล้องกันกับคำตอบหรือไม่
เช่น ถามเขาว่า
“ทำไมคุณถึงอยากจะลาออกจากงานล่ะ
เพราะปัจจุบันตำแหน่งและเงินเดือนของคุณก็ดีนี่”
ผู้สมัครงานก็ตอบว่า
“ต้องการความก้าวหน้า”
หากกรรมการสัมภาษณ์สบสายตาและสังเกตภาษากายของผู้สมัครงานรายนี้ให้ดีก็อาจจะพบว่าขณะที่ตอบคำถามนี้เขาหลบสายตาวูบลงมองต่ำหรือเบนสายตาหลบตากรรมการสัมภาษณ์
มีสีหน้าอึดอัดบางอย่าง หรือถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่
ภาษากายที่ไม่สอดคล้องกับคำตอบอย่างนี้แหละครับที่กรรมการสัมภาษณ์จะต้องสะกิดใจแล้วว่าสาเหตุของการเปลี่ยนงานคงน่าจะเป็นเรื่องของต้องการความก้าวหน้าแล้ว
แต่ผู้สมัครรายนี้อาจจะมีปัญหาในงานที่รับผิดชอบในขณะนี้
หรือมีปัญหากับหัวหน้าหรือกับองค์กรอะไรบางอย่างแล้วอึดอัดก็เลยอยากจะลาออกมากกว่า
ซึ่งกรรมการสัมภาษณ์ก็ควรจะต้องถามผู้สมัครเพื่อหาข้อเท็จจริงและเก็บพฤติกรรมของผู้สมัครรายนี้
เช่น ถามต่อว่า
“ถ้าคุณตอบอย่างนี้แสดงว่าที่บริษัทปัจจุบันนี้คุณไม่สามารถจะก้าวหน้าต่อไปได้หรือ”
คราวนี้ผู้สมัครรายนี้อาจจะแสดงสีหน้าหนักใจหรือแววตาเซ็งมาก
ๆ พร้อมกับระบายปัญหาในบริษัทปัจจุบันรวมทั้งปัญหาของหัวหน้า
หรือปัญหานโยบายของฝ่ายบริหาร ฯลฯ มาให้ท่านได้ข้อมูลอีกเพียบเพื่อให้ท่านได้คิดและตัดสินใจให้ดีว่าสมควรจะรับผู้สมัครคนนี้เข้าทำงานกับเราดีหรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครรายอื่น
นี่แหละครับ
ความสำคัญของการสังเกตภาษากายของผู้สมัครงานแบบยกตัวอย่างง่าย ๆ
ซึ่งถ้าคนที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ไม่สังเกตผู้สมัครงานให้ดี
ก็อาจจะมองข้ามไปและทำให้ตัดสินใจผิดพลาดรับคนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาทำงานแล้วก็เกิดปัญหาต่อไปในอนาคตให้ต้องมาตามล้างตามเช็ดกันอีก
แต่ถ้ากรรมการสัมภาษณ์มีทักษะในการอ่านภาษากายแล้วแม้ว่าผู้สมัครจะพยายามพูดตอบคำถามให้ดูดีแค่ไหน
แต่ถ้าภาษากายขัดแย้งกับการพูดโต้ตอบ
ก็จะทำให้การพิจารณาคัดเลือกคนที่เหมาะสมมีความแม่นยำถูกต้องมากยิ่งขึ้น
ซึ่งทักษะการอ่านภาษากายประกอบการสัมภาษณ์นี้อยู่ที่การฝึกฝน
เพราะการสัมภาษณ์เป็น “ทักษะ” ยิ่งฝึกฝนบ่อยก็จะเกิดความชำนาญ....ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์นะครับ
!
หมายถึงว่าถ้าไม่ค่อยได้ซ้อมหรือไม่ค่อยได้สัมภาษณ์หรือฝึกการอ่านภาษากายก็จะขาดทักษะการสัมภาษณ์นั่นเอง
เหมือนกับนักดนตรี, นักกีฬา, ดารานักแสดงทั้งหลายที่จะขึ้นเวที,
เข้ากล้องก็ยังต้องซ้อม ซ้อม
และซ้อมให้เกิดทักษะหรือความชำนาญจนมั่นใจก่อนขึ้นเวทีหรือก่อนเข้ากล้องเลย
แล้วถ้ากรรมการสัมภาษณ์ไม่ค่อยได้ซ้อม
หรือขาดทักษะการสัมภาษณ์โดยเฉพาะทักษะการอ่านภาษากายล่ะ..องค์กรจะได้คนที่มีความชำนาญในการคัดเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงานได้ยังล่ะครับ
ผมหวังว่าคนที่จะต้องเป็นกรรมการสัมภาษณ์เมื่ออ่านเรื่องนี้แล้วคงจะเริ่มเห็นความสำคัญของการสังเกตและอ่านภาษากายของผู้สมัครงานกันบ้างแล้วนะครับ
................................................