ผมได้รับคำถามหนึ่งที่น่าสนใจดี
ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้หรือยังงง ๆ กับคำเหล่านี้ว่าต่างกันยังไง
ก็เลยอยากจะเอาคำเหล่านี้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันในวันนี้ครับ
คำถามมีอยู่ว่า
1. พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งเงินเดือน
20,000 บาท ได้รับค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท ค่าภาษา 3,000 บาท
ถามว่าในทางกฎหมายแรงงานแล้วพนักงานคนนี้จะมี “รายได้” เดือนละ 25,000 บาท ใช่หรือไม่ ?
2. คำว่า “เงินเดือน” กับ “รายได้”
ในทางกฎหมายแรงงานแตกต่างกันอย่างไร
ตอบได้อย่างนี้ครับ
ในกฎหมายแรงงานแล้วมีแต่คำว่า
“ค่าจ้าง” เท่านั้น
ไม่มีคำว่า “เงินเดือน” หรือคำว่า “รายได้” หรือ
“เงินได้” ใด ๆ ทั้งสิ้น
ซึ่งในมาตรา
5 ของกฎหมายแรงงานก็ได้ระบุความหมายของคำว่า “ค่าจ้าง”
เอาไว้ดังนี้ครับ....
“ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน
และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้
ดังนั้น
ในบริษัทห้างร้านองค์กรต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกการจ่ายค่าตอบแทนว่า “เงินเดือน”
หรือคำอื่น ๆ ก็จะต้องนำค่าตอบแทนที่จ่ายในชื่อต่าง ๆ นั้นมาเทียบกับมาตรา 5 ของกฎหมายแรงงานดูว่าเงินค่าตอบแทนเหล่านั้นอะไรเป็น
“ค่าจ้าง” อะไรไม่ใช่ “ค่าจ้าง”
เช่นในข้อ 1 ที่บอกว่าพนักงานได้เงินเดือน ๆ
ละ 20,000 บาท
จะเห็นได้ว่า “เงินเดือน” ที่พนักงานได้รับนี้เป็น “เงิน”
ที่พนักงานและบริษัทตกลงกันจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงาน (คือพูดง่าย ๆ ว่าก็เพราะพนักงานทำงานให้บริษัท
บริษัทถึงได้จ่ายเงินเดือนให้ 20,000 บาท
ถ้าไม่ทำงานให้บริษัทก็จะไม่จ่ายเงินเดือนให้) ตามสัญญาจ้าง
(ซึ่งต้องมีการสัญญิงสัญญาว่าจะรับเข้ามาทำงานและพนักงานก็ตกลงที่จะมาทำงานด้วยอัตราเงินเดือนเท่านี้)
สำหรับระยะเวลาการทำงานปกติคือทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
(ตามข้อบังคับการทำงานของบริษัท)
เห็นไหมครับว่าจากที่ผมเปรียบเทียบเทียบความหมายของเงินเดือนข้างต้นนี้จะเข้าได้กับนิยามของคำว่า
“ค่าจ้าง” ตามมาตรา 5 ทั้งหมด ดังนั้น
“เงินเดือน” เดือนละ 20,000 บาทตามตัวอย่างนี้ก็คือ “ค่าจ้าง”
ตามกฎหมายแรงงานแหง ๆ
ส่วนเงินค่าตอบแทนอื่น
ๆ เช่น ค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท และค่าภาษาเดือนละ 3,000 บาทล่ะ เป็นค่าจ้างด้วยหรือไม่ ?
ถึงแม้บริษัทจะเรียกเงินที่จ่ายให้แตกต่างออกเป็นคำว่า
“ค่าครองชีพ” หรือ “ค่าภาษา” แล้วก็ตาม เราก็ต้องนำลักษณะการจ่ายค่าตอบแทนเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับความหมายของคำว่า
“ค่าจ้าง” ตามมาตรา 5 (ข้างต้น) ด้วยเช่นเดียวกันถึงจะตอบได้ว่าเงินเหล่านี้เป็น
“ค่าจ้าง” หรือไม่
ในกรณีนี้หากบริษัทจ่ายค่าครองชีพให้พนักงานเท่ากันทุกเดือน
ๆ ละ 2,000 บาท
โดยไม่เคยมีการปรับค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาวะการครองชีพจริง ๆ แม้แต่วันที่เป็นวันหยุดก็ยังได้ค่าครองชีพไปด้วย
คือพูดง่าย ๆ ว่ายังไงบริษัทก็จ่ายค่าครองชีพให้พนักงานทุกคน ๆ ละ 2,000 บาทต่อเดือนมานานหลายปีแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ “ค่าครองชีพ” ที่จ่ายแบบนี้ก็ถือเป็นค่าตอบแทนการทำงานเพราะเหตุว่าใครเข้ามาทำงานในบริษัทก็จะต้องได้ค่าครองชีพ
2,000 บาทเท่ากันทุกคนแบบแน่นอน ดังนั้น “ค่าครองชีพ”
นี้ก็เป็น “ค่าจ้าง” โดยนัยยะเดียวกันกับเงินเดือนข้างต้นครับ
ส่วนค่าภาษาเดือนละ
3,000 บาทล่ะ
อันนี้ง่ายเลยครับ คือถ้าพนักงานคนไหนต้องใช้ภาษาต่างประเทศ บริษัทก็เลยต้องจ่ายค่าภาษาให้เดือนละ
3,000 บาท
ถ้าใครไม่ได้ใช้ภาษาต่างประเทศบริษัทก็จะไม่จ่ายค่าภาษาให้ อย่างนี้ “ค่าภาษา”
ก็คือค่าตอบแทนการทำงาน (ที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศ) อย่างชัดแหนวเลยครับ ดังนั้น
“ค่าภาษา” ก็คือ “ค่าจ้าง” ไปด้วยอีกตัวหนึ่ง
จากที่ผมอธิบายมาทั้งหมดนี้ก็สรุปได้ว่า
“ค่าจ้าง” ของพนักงานคนนี้คือ 25,000
บาท ซึ่งค่าจ้างนี้จะใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลา,
ค่าทำงานในวันหยุด หรือเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยอีกด้วยนะครับ
ส่วนคำถามที่ 2 ที่ถามว่า “เงินเดือนกับรายได้ในทางกฎหมายแรงงานแตกต่างกันอย่างไร”
นั้น สำหรับท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้คงจะตอบได้แล้วนะครับว่า....
คำว่า “เงินเดือน”
และคำว่า “รายได้” ไม่มีนิยามไว้ในกฎหมายแรงงานน่ะสิครับ
เมื่อสองคำนี้ไม่อยู่ในกฎหมายแรงงานจึงไม่ต้องมาตอบว่ามันแตกต่างกันอย่างไรจึงป่วยการที่จะไปคิดถึงคำว่ารายได้
แต่ในทางกฎหมายแรงงานจะต้องมาตีความกันว่าเงินใดบ้างที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างนั้นเป็น
“ค่าจ้าง” หรือไม่ อย่างนี้ต่างหากครับ
ตอนนี้ทุกท่านคงเข้าใจในคำว่า
“ค่าจ้าง” ดีขึ้นแล้วนะครับ
………………………………………….