วันนี้ผมไปอ่านเจอเรื่องแปลก
ๆ
เกี่ยวกับสัญญาจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งที่พนักงานเขาเอามาโพสลงในสื่อออนไลน์ตั้งกระทู้ถามผู้คนในโลกออนไลน์
ผมอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ก็เลยอยากจะนำมาแชร์เป็นความรู้กันท่านเพื่อเป็นข้อคิดและข้อควรระวังต่อไปครับ
บริษัทแห่งนี้มีข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาจ้าง
5 ข้อคือ
1. การลาออกของพนักงานจะมีผลต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากฝ่ายบริหารเสียก่อนจึงจะลาออกได้
และต้องแจ้งลาออกล่วงหน้า 2 เดือน
2. หากพนักงานลาออกไปโดยที่ฝ่ายบริหารยังไม่อนุมัติ
พนักงานจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้บริษัท 3 เท่าของเงินเดือน
3. หากพนักงานลาออก
สิทธิในการพักร้อนเป็นอันถูกยกเลิกในวันที่ยื่นใบลาออก
4. หากผ่านการทดลองงานจะต้องทำงานให้กับบริษัทอย่างน้อย
18 เดือน
5. หากพนักงานทำผิดข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น
พนักงานจะโดนปรับ 10 เท่าของเงินเดือน
ทั้ง 5 ข้อข้างต้นนี่แหละครับที่เป็นที่มาของหัวเรื่องในวันนี้ว่า
“สัญญาจ้างพิสดาร” ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะยังมีบริษัทอีกหลายแห่งที่ยังมีสัญญาจ้างทำนองนี้อยู่
หากท่านเป็นผู้สมัครงานแล้วท่านอยากจะทำงานกับบริษัทที่มีสัญญาจ้างแบบนี้ไหมครับ
?
ในทำนองเดียวกันก็อยากจะถามผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้เหมือนกันว่า
เมื่อทำสัญญาจ้างแบบนี้แล้วคิดหรือว่าจะทำให้พนักงานมี “ใจ” ที่อยากทำงานอยู่กับบริษัทในระยะยาว
?
ผมวิเคราะห์ว่าสไตล์การบริหารของบริษัทแห่งนี้เน้นการ
“ควบคุม” และ “ลงโทษ” เป็นหลักนะครับ
ดังนั้นคงไม่ต้องไปเดาต่อไปว่าเรื่องแรงงานสัมพันธ์ของบริษัทแห่งนี้จะเป็นยังไง
พนักงานจะมีความรักหรือมีจิตใจที่อยากจะทำงานกับบริษัทนี้หรือไม่
แล้วก็เลยอยากจะอธิบายสัญญาจ้างพิสดารที่ว่านี้ไปทีละข้อเพื่อให้ทั้งผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้เผื่อมาอ่านเจอ
(รวมถึงผู้บริหารในบริษัทอื่นที่มีสัญญาจ้างทำนองเดียวกันนี้)
และพนักงานได้เข้าใจตรงกันดังนี้นะครับ
1. การลาออกของพนักงานจะมีผลต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากฝ่ายบริหารเสียก่อนจึงจะลาออกได้และต้องแจ้งลาออกล่วงหน้า 2 เดือน
ข้อนี้ผู้บริหารยังขาดความรู้ในเรื่องกฎหมายแรงงานนะครับ
เพราะเมื่อลูกจ้างยื่นใบลาออกโดยระบุวันที่มีผลลาออกไว้เมื่อไหร่
เมื่อถึงวันที่ระบุในใบลาออกนั้นก็จะมีผลในเรื่องการลาออกทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้นายจ้างหรือใครมาอนุมัติทั้งสิ้น
เพราะการลาออกเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างจากลูกจ้างที่ไม่อยากจะทำงานต่อไปกับบริษัทนั้นอีกต่อไป
ดังนั้นบริษัทไม่มีอำนาจและไม่มีหน้าที่มาอนุมัติการลาออกของลูกจ้าง
แม้บริษัทจะระบุตามระเบียบว่าต้องแจ้งลาออกล่วงหน้า 2 เดือนก็ตาม
หากลูกจ้างยื่นใบลาออกวันนี้และในใบลาออกระบุวันที่มีผลคือวันพรุ่งนี้ก็ย่อมทำได้
ถ้าบริษัทเห็นว่าลูกจ้างทำผิดกฎระเบียบที่ไม่ลาออกล่วงหน้า 2 เดือน
ก็เป็นเรื่องของบริษัทที่จะต้องไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้างเอาเองโดยจะต้องไปพิสูจน์ให้ศาลแรงงานท่านเห็นว่าการที่ลูกจ้างไม่ลาออกตามระเบียบจะทำให้บริษัทเกิดความเสียหายกี่บาทกี่สตางค์
2. หากพนักงานลาออกไปโดยที่ฝ่ายบริหารยังไม่อนุมัติ
พนักงานจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้บริษัท 3 เท่าของเงินเดือน
ข้อนี้เป็น “มโน” ของฝ่ายบริหารขึ้นมาล้วน ๆ
เพราะบริษัทไม่มีสิทธิจะไปอนุมัติการลาออกของลูกจ้างตามข้อ 1 ที่ผมอธิบายข้างต้นอยู่แล้ว
ดังนั้นบริษัทก็ไม่มีสิทธิหักค่าเสียหายจากลูกจ้างด้วยเช่นเดียวกัน
หากเห็นว่าลูกจ้างทำให้บริษัทเสียหายก็ต้องไปฟ้องศาลแรงงานเอาตามที่ผมบอกไว้ตามข้อ
1 ข้างต้น
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะหักได้ 3 เท่าของเงินเดือนนะครับ (ผมก็ไม่รู้ว่าบริษัทไปเอาตัวเลข 3 เดือนนี้มาจากไหนหรือมีกุมารทองจากไหนมาเข้าฝันบอกให้หัก 3 เดือน) อันนี้อยู่ที่ศาลแรงงานท่านจะพิจารณาว่าลูกจ้างทำให้บริษัทเสียหายจริงหรือไม่และลูกจ้างจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัทหรือไม่จำนวนเงินเท่าไหร่
แหมทำยังกะลูกจ้างไปขโมยของตามห้างสรรพสินค้าแล้วจะต้องถูกปรับกี่เท่าของราคาสินค้าเลยนะครับ
อิ..อิ..
3. หากพนักงานลาออก
สิทธิในการพักร้อนเป็นอันถูกยกเลิกในวันที่ยื่นใบลาออก
ข้อนี้แม้บริษัทจะระบุไว้ในสัญญาจ้างหรือกฎระเบียบใด
ๆ ของบริษัท แต่มันผิดกฎหมายแรงงานมาตรา 30 (ไปหาอ่านได้ในกูเกิ้ลนะครับ)
ดังนั้นหากลูกจ้างยังมีสิทธิในวันหยุดพักผ่อนประจำปีแล้วบริษัทก็ยังไม่ได้
“จัดให้” ลูกจ้างหยุดพักผ่อนประจำปี
บริษัทก็จะต้องจ่ายค่าวันหยุดพักผ่อนประจำปีคืนให้กับลูกจ้างอีกต่างหากด้วย เพราะวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็น
“สิทธิ” ของลูกจ้างที่นายจ้าง “จะต้อง” จัดให้นะครับ
4. หากผ่านการทดลองงานจะต้องทำงานให้กับบริษัทอย่างน้อย
18 เดือน
ข้อนี้แม้ว่าบริษัทจะเขียนไว้ในสัญญาจ้างก็จริง
แต่สัญญาจ้างลูกจ้างในลักษณะนี้เป็นสัญญาจ้างแบบไม่มีระยะเวลา (หมายถึงสัญญาจ้างพนักงานประจำของบริษัททั่วไปนั่นแหละ) เพราะไประบุไว้ในข้อ
1 ว่าถ้าพนักงานจะลาออกต้องแจ้งล่วงหน้า
2 เดือน
แสดงว่าสัญญาจ้างประเภทนี้ไม่ใช่สัญญาจ้างแบบมีระยะเวลา) เพราะแปลว่าพนักงานมีสิทธิจะยื่นใบลาออกเมื่อไหร่ก็ได้ครับ
แต่ถ้าพนักงานยื่นใบลาออกแล้วทำให้บริษัทเกิดความเสียหายเพราะไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างข้อนี้ยังไง
ก็เป็นเรื่องที่บริษัทต้องไปฟ้องร้องลูกจ้างเรียกค่าเสียหายจากศาลแรงงานอย่างที่ผมบอกไว้ในข้อ
1 และข้อ 2 อีกเหมือนเดิมนั่นแหละครับ
ผมว่าที่มาของสัญญาข้อนี้คงจะเป็นเพราะผู้บริหารดูละครเรื่องจำเลยรักแล้วคิดว่าจะกักขังพนักงานไว้ได้อีก
18 เดือนเหมือนในละครมั๊งครับ 55555
5.หากพนักงานทำผิดข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น
พนักงานจะโดนปรับ 10 เท่าของเงินเดือน
สัญญาจ้างข้อนี้ผมถือว่า “หลุดโลก” เอามาก ๆ
เลยนะครับ (ขอขำแป๊บ..) ไม่ทราบว่าบริษัทนี้มี HR มืออาชีพตัวจริงเสียงจริงทำงานอยู่หรือไม่ (แต่สันนิษฐานว่าคงไม่มี HR มืออาชีพแหง ๆ )
เพราะถ้าผู้จัดการฝ่ายบุคคลมืออาชีพเห็นข้อนี้เข้าจะต้องให้ตัดออกไปเพราะเป็นสัญญาที่
“ไร้สาระ” เอามาก ๆ เลยน่ะสิครับ 55555
ที่ผมเล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี้ก็ให้เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจสำหรับทั้งทางด้านของนายจ้างหรือผู้บริหารที่เมื่อจะคิดนโยบายหรือสั่งอะไรออกมาควรจะต้องคิดอยู่เสมอว่า
กฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ น่ะบริษัทมีสิทธิจะออกมาได้เสมอแหละ
แต่ถ้ากฎระเบียบข้อไหนของบริษัทที่ออกมาแล้วขัดต่อกฎหมายแรงงานแล้วล่ะก็
กฎระเบียบเหล่านั้นจะเป็นโมฆะแหง ๆ
ส่วนในฝั่งของลูกจ้างหรือพนักงานก็จะได้ดูเอาไว้ว่าหากไปสมัครงานแล้วเจอกฎระเบียบหรือสัญญาจ้างที่ประหลาดและส่อเจตนาเอาเปรียบลูกจ้างตั้งแต่แรกอย่างนี้แล้ว
ก็ควรไปหางานในบริษัทอื่นที่เขามีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้เถอะนะครับ
…………………………………