คำถามมีอยู่ว่ากรณีพนักงานที่อยู่ในกลุ่มงาน (Job Grade) เดียวกัน แต่ทำงานกันคนละฝ่ายเมื่อถึงรอบขึ้นเงินเดือนประจำปีแล้วพนักงานทั้งสองคนนี้ต่างก็ได้รับการประเมินผลงานในเกรดเดียวกัน เช่น ได้เกรด C
ทั้งสองคนนี้ควรจะได้รับการขึ้นเงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากันหรือไม่?
ตัวอย่างเช่น
พนักงานบัญชีคนหนึ่งเงินเดือน 15,000 บาท ถูกประเมินผลงานได้เกรด C
ได้รับการขึ้นเงินเดือน 6%
พนักงานจัดซื้อ (อยู่ใน
Job Grade
เดียวกับพนักงานบัญชี) สมมุติว่าเงินเดือน 15,000 บาทเท่ากัน ถูกประเมินผลงานได้เกรด C เหมือนกัน ก็ต้องได้รับการขึ้นเงินเดือนเท่ากับพนักงานบัญชีคือ
6% หรือไม่
ถ้ามองเผิน
ๆ หรือคิดเร็ว ๆ ก็ควรจะต้องขึ้นเงินเดือนให้เท่ากัน
ลองมาดูในรายละเอียดตามตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ
จากตารางสมมุติว่าฝ่ายบัญชีมีพนักงาน
4 คน เงินเดือนรวมทั้งหมด 70,000 บาท
ส่วนฝ่ายจัดซื้อมีพนักงานรวม 3 คนเงินเดือนรวม 50,000
บาท
ทั้งสองฝ่ายได้รับการจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีเท่ากันคือ
6%
ก็จะทำให้ฝ่ายบัญชีได้รับงบประมาณ 4,200 บาท
ส่วนฝ่ายจัดซื้อได้งบฯ 3,000 บาท
หากดูในช่อง
(A) กับ (B) ผมสมมุติว่านี่คือการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปีของทั้งสองฝ่ายตามหลักเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
เช่น สมมุติถ้าถูกประเมินผลเกรด B จะได้ขึ้นเงินเดือน 9%
หากถูกประเมินในเกรด C จะได้ 6% จะเห็นว่าถ้าทำอย่างนี้ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่สามารถควบคุมเม็ดเงินให้อยู่ในงบประมาณที่ได้รับ
ดังนั้นผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายจึงต้องกลับมาพิจารณาเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนของฝ่ายตัวเองกันใหม่แบบยืดหยุ่นเพื่อให้สมดุลระหว่างผลการประเมินกับงบประมาณที่ด้รับมาเป็นช่อง
(C)
และ (D)
จากตารางช่อง
(C) และ (D) เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างพนักงานบัญชีและพนักงานจัดซื้อจะเห็นว่าพนักงานจัดซื้อได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำกว่าพนักงานบัญชีทั้ง
ๆ ที่มีค่างานอยู่ใน Job Grade เดียวกัน เพราะฝ่ายจัดซื้อได้รับการจัดสรรงบประมาณมาน้อยกว่าจึงดูเหมือนเสียเปรียบฝ่ายบัญชี
นี่จึงเป็นที่มาของคำถามนี้ว่าการขึ้นเงินเดือนแบบนี้ยุติธรรมแล้วหรือ?
ตรงนี้อธิบายได้อย่างนี้ครับ
1.
เมื่อมีการประเมินค่างานบริษัทจะตั้งคณะกรรมการประเมินค่างาน
เป็นคนกลางทำหน้าที่ประเมินค่างานว่าตำแหน่งไหนจะมีค่างาน (Job Value) ที่สูงกว่าหรือต่ำกว่ากันมากน้อยแค่ไหนแล้วนำมาจัดเรียงตามคะแนนที่ถูกประเมินแล้วจึงจัดทุกตำแหน่งงานเข้า
Job Grade ต่าง ๆ ซึ่งการประเมินค่างานเป็นการประเมินกันที่ตัว
“ตำแหน่งงาน” เป็นหลัก ไม่ใช่การประเมินที่ “ตัวบุคคล”
2.
เมื่อจัดแบ่งตำแหน่งงานต่าง ๆ เข้าแต่ละ Job Grade แล้ว จะนำเอาตำแหน่งต่าง ๆ ในแต่ละ Job Grade ไปเทียบกับตลาดดูว่าตลาดเขาจ่ายกันอยู่เท่าไหร่เพื่อที่จะได้นำข้อมูลของตลาดมาวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างเงินเดือนให้สามารถแข่งขันได้
3.
เมื่อจบขั้นตอนตามข้อ 3 แล้ว
ถือว่าเรื่องของการประเมินค่างานเสร็จสิ้นแล้วครับ เราจะไม่นำเรื่องค่างาน (Job
Value) มาผูกโยงต่อไปว่าค่างานเท่ากันหรืออยู่ Job Grade เดียวกันจะต้องได้รับการขึ้นเงินเดือนเท่ากันถึงจะยุติธรรม หรือพูดง่าย ๆ
ว่าจะไม่เอาเรื่องค่างานมาผูกกับเรื่องผลการปฏิบัติงาน เพราะ....
3.1
แม้ว่าพนักงานบัญชีและพนักงานจัดซื้อจะถูกประเมินได้เกรด
C เหมือนกันก็จริง แต่ผู้ประเมินก็คือหัวหน้าของพนักงานบัญชีและหัวหน้าของพนักงานจัดซื้อต่างก็จะมีเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานลูกน้องที่แตกต่างกัน
3.2
ลักษณะงานที่รับผิดชอบของพนักงานบัญชีกับพนักงานจัดซื้อก็ไม่เหมือนกัน
การกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมาย (KPIs) ก็แตกต่างกันไปตามลักษณะงาน
3.3
งบประมาณขึ้นเงินเดือนของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากัน
ถ้าหน่วยงานไหนมี Total
Payroll มากก็จะได้รับการจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนสูงกว่าหน่วยงานที่มี
Total Payroll น้อยกว่า
3.4
ดังนั้นแม้พนักงานบัญชีและพนักงานจัดซื้อต่างก็ถูกหัวหน้าประเมินแล้วได้เกรด
C
เหมือนกันก็ไม่ได้หมายความว่า C ของพนักงานบัญชีจะเท่ากับ
C ของพนักงานจัดซื้อ เพราะผู้ประเมินก็คนละคน, ผู้ถูกประเมินก็คนละคน,
ลักษณะงานก็ต่างกัน, เป้าหมายในงานก็ต่างกัน, งบประมาณก็ไม่เท่ากันอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว
3.5
นอกจากนี้แต่ละฝ่ายจำเป็นจะต้องบริหารงบประมาณการขึ้นเงินเดือนประจำปีของตัวเองให้ไม่เกินงบฯ
ดังนั้นผู้บริหารในแต่ละฝ่ายต่างก็จะต้องจัดสรรเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนให้สอดคล้องกับเกรดที่ตัวเองประเมินลูกน้อง
และยังต้องควบคุมงบฯไม่ให้เกินที่ได้รับการจัดสรรมาอีกด้วย
จากเหตุผลข้างต้นจึงสรุปได้ว่า...
ตำแหน่งเดียวกัน
แต่อยู่คนละหน่วยงานแม้จะอยู่ Job Grade เดียวกัน ถึงจะถูกประเมินผลด้วยเกรดเดียวกันก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับการขึ้นเงินเดือนเท่ากันครับ
…………………………..