ตอบ : ไม่จริงครับ
เรื่องหนึ่งที่บริษัทมักจะยกมาอ้างเป็นสาเหตุการเลิกจ้างพนักงานคือเรื่องผลการปฏิบัติงานที่แย่มาก
ๆ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ผลงานไม่ได้ตาม KPIs พนักงานไม่ขยัน
ไม่เอาใจใส่ในงาน ฯลฯ
พูดง่าย ๆ คือผลงานของพนักงานมีปัญหาก็เลยต้องเลิกจ้างนั่นแหละครับ
แถมผู้บริหารก็มักจะคิดว่าในเมื่อพนักงานผลงานไม่ดี
ทำไมบริษัทยังต้องจ่ายค่าชดเชยให้เป็น Pocket money ติดกระเป๋าเป็นของแถมให้อีกล่ะ
อย่างงี้ก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้พนักงานคนอื่นเอาอย่างสิ
เมื่อคิดได้อย่างงี้แล้วก็เลยมีการหาช่องทางในการเลิกจ้างโดยบริษัทไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจากกฎหมายแรงงานมาตรา
119 ข้อ 4 ที่บอกว่า “....ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม
และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว....”
บิงโก! งั้นบริษัทก็ออกหนังสือตักเตือนพนักงานที่มีผลงานไม่ดีเสียก่อนสิ
โดยระบุในหนังสือตักเตือนทำนองว่า
“....เนื่องจากพนักงานไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงออกหนังสือตักเตือนให้พนักงานเร่งทำผลงานให้ได้ตาม
KPIs ที่ผู้บังคับบัญชาตั้งเป้าหมายไว้
และถ้าหากพนักงานยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายบริษัทจะถือว่าพนักงานขาดประสิทธิภาพภายใน
3 เดือนนับจากวันที่ออกหนังสือเตือน บริษัทจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ
ทั้งสิ้น....”
เมื่อพนักงานฝ่าฝืนคำสั่งในหนังสือตักเตือนบริษัทก็สามารถเลิกจ้างพนักงานรายนี้ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใด
ๆ ทั้งสิ้น
มีหลายบริษัทนิยมทำอย่างที่ผมบอกมานี้แหละครับ
คือออกหนังสือตักเตือนและสั่งให้พนักงานปรับปรุงตัวให้มีผลงานที่ดีขึ้น
ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ถือว่าขัดคำสั่งและเลิกจ้างพนักงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
คำถามคือบริษัทสามารถทำแบบนี้ได้หรือไม่
?
ตอบตรงนี้เลยว่าถ้าจะเลิกจ้างเพราะผลงานไม่ดีก็ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายครับ
เพราะการที่พนักงานไม่สามารถปฏิบัติงานให้มีผลงานได้ตามที่ตกลงกันนั้นไม่ใช่ความผิดทางวินัยร้ายแรง
การที่บริษัทอ้างว่าพนักงานฝ่าฝืนคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม
(คือหนังสือตักเตือน) ของบริษัทนั้นเป็นการอ้างผิดประเภทครับ
ถ้าบริษัทจะยังเลิกจ้างเนื่องจากพนักงานมีผลการปฏิบัติงานไม่ดีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยผลจะเป็นยังไง
?
ผลก็คือ
1.
เมื่อพนักงานไปฟ้องศาลแรงงานบริษัทก็จะแพ้คดีและต้องจ่ายค่าชดเชย
2.
หากบริษัทไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนและมีน้ำหนักเพียงพอว่าพนักงานผลงานไม่ดีแค่ไหนยังไงก็อาจถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
อาจถูกศาลสั่งให้รับพนักงานกลับเข้าทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้กับพนักงานแล้วแต่กรณี
3.
บริษัทเสียชื่อเสียงและมีผลต่อความคิดเห็นและความรู้สึกด้านลบของพนักงานอื่นที่ยังทำงานอยู่ในบริษัทว่าบริษัทมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับพนักงาน
จึงสรุปตรงนี้ว่า
1.
บริษัทควรจะต้องมีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจน
มีหลักฐานที่อ้างอิงได้ว่าพนักงานที่ทำงานไม่ดีมีปัญหานั้น
ทำงานไม่ดียังไงมีปัญหามากน้อยแค่ไหนกับบริษัทจนถึงขั้นจะต้องเลิกจ้าง
ซึ่งเอกสารเหล่านี้ควรมีการระบุเป้าหมายให้ชัดเจนมีการติดตามและแจ้งผลรวมถึงมีการเซ็นชื่อรับทราบผลการทำงานของทั้งหัวหน้าและลูกน้อง
2.
บริษัทควรจะมีการทำหนังสือตักเตือนพนักงานเรื่องผลการปฏิบัติงานที่มีปัญหาและให้โอกาสพนักงานปรับปรุงแก้ไขแล้วมีการติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด
3.
หลังจากทำตามข้อ 1 และ
2 แล้วถ้าบริษัทยังยืนยันว่าจำเป็นจะต้องเลิกจ้างกันจริง
ๆ ก็ยังต้องจ่ายค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้ถูกต้องตามกฎหมายครับ
จะโมเมไม่จ่ายเหมือนที่ผมบอกไปข้างต้นไม่ได้นะครับ
และต้องแน่ใจว่าไม่ใช่การกลั่นแกล้งรังแกกัน
4.
พนักงานยังสามารถนำเรื่องนี้ไปฟ้องศาลแรงงานในประเด็นถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้
ซึ่งถ้าบริษัทไหนไม่มีการเตรียมการเตรียมข้อมูลหลักฐานที่ดีชัดเจนตามข้อ 1 และ
2 ข้างต้นก็อาจจะแพ้คดีในเรื่องนี้ได้
5.
ถ้าบริษัทมีหลักฐานชัดเจนตามข้อ 1 และ
2 ไปพิสูจน์ให้ศาลท่านเห็นคล้อยตามได้ก็ยังดีกว่าไม่มีหลักฐานอะไรไปแสดง
6.
ควรมีการพูดคุยทำความเข้าใจกับพนักงานที่จะเลิกจ้างอย่างตรงไปตรงมาด้วยเหตุด้วยผลไม่ใช้อารมณ์ให้จบได้ด้วยดีเพื่อลดความเสี่ยงที่พนักงานจะไปฟ้องร้อง
จึงสรุปได้ว่ากรณีบริษัทจะเลิกจ้างเนื่องจากพนักงานผลงานไม่ดี
ยังไงก็ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่ถ้าบริษัทมี Document Support ที่ดีเพียงพอก็จะทำให้ไม่ต้องมาจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากถูกฟ้องเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรมครับ
มาถึงตรงนี้ก็หวังว่าคงจะทำให้ทั้งผู้บริหารและพนักงานเข้าใจตรงกันเรื่องของการเลิกจ้างเนื่องจากผลงานไม่ดี
และมีการปฏิบัติในเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องแล้วนะครับ