วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ควรให้ลาพักร้อนกี่วันดี ?

             เป็นคำถามที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่ก็กลับมีปัญหาได้ในบางบริษัทนะครับ

            ถ้าว่ากันตามมาตรา 30 ของกฎหมายแรงงานก็จะบอกไว้ว่าเมื่อลูกจ้างทำงานมาครบ 1 ปี นายจ้างก็ต้องจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดพักผ่อนประจำปี (ที่เราเรียกติดปากว่า “วันลาพักร้อน” แหละครับ ซึ่งต่อไปนี้ผมก็ขอเรียกแบบคนทำงานว่าลาพักร้อนนะครับ) ไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน

            ผมสมมุติตัวอย่างที่หนึ่งคือ

นาย A มีสิทธิพักร้อน 6 วันทำงานแกก็อยากจะใช้สิทธิลาพักร้อน 6 วันบวกกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เพื่อไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวรวมเป็น 8 วัน แกก็เลยยื่นใบลาพักร้อนกับหัวหน้า

            ก็จะเจอปัญหาสำหรับหัวหน้าบางคนที่ไม่อนุมัติให้นาย A ลาพักร้อนติดกันหลาย ๆ วัน แม้ว่างานที่นาย A ทำอยู่จะมีคนทำแทนได้ก็ตาม โดยอาจให้เหตุผลกับนาย A ว่าถ้าให้ลาพักร้อนไปประมาณหนึ่งสัปดาห์จะทำให้เป็นภาระกับเพื่อน ๆ ที่ต้องมาทำงานแทน

            แต่เหตุผลที่จริงก็คือนาย A เป็นคนที่เก่งงาน ทำงานดี ทำงานคล่อง แก้ปัญหาสารพัดได้รวดเร็ว ถ้านาย A หายไปหลายวันหัวหน้าก็จะรู้สึกไม่มั่นใจแม้ว่าจะมีคนทำแทนได้แต่ก็ไม่เก่งเท่านาย A ก็เลยไม่อนุมัติให้นาย A ลาพักร้อนแบบหยุดยาว

            แต่ถ้านาย A จะลาพักร้อนไม่เกิน 3 วัน หัวหน้าก็จะอนุมัติแบบไม่มีปัญหาอะไร

            ในขณะที่หัวหน้าก็จะอนุมัติให้พนักงานในแผนกลาพักร้อนได้มากกว่า 3 วันได้ซะงั้น

            ผลเลยกลายเป็นว่าคนทำงานดีขอพักร้อนหยุดยาวตามสิทธิไม่ได้ แต่คนทำงานตามเกณฑ์เฉลี่ยหรือทำงานไม่ดีกลับได้สิทธิพักร้อนตามที่ขอมาทุกครั้ง

            ตัวอย่างที่สองคือ

            หัวหน้าบางคนมักอนุมัติให้ลูกน้องลาพักร้อนโดยนับเป็นชั่วโมงก็มี หรือพักร้อนครึ่งวันก็มี ??

            ในความคิดส่วนตัวของผม ๆ เห็นว่าการให้สิทธิลาพักร้อนตามกฎหมายแรงงานก็มีเจตนารมณ์ที่อยากจะให้ลูกจ้างได้หยุดชาร์จแบตอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากการทำงาน

            แต่การที่หัวหน้าให้ลูกน้องลาพักร้อนเป็นรายชั่วโมงหรือครึ่งวันนี่ ผมก็ยังตะหงิด ๆ ใจว่าจะผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานได้ยังไง

เพราะมันก็คงคล้าย ๆ กับมือถือของเราที่แบตใกล้หมดแต่เราเสียบสายชาร์จได้แค่แป๊บเดียว ยังไม่ทันให้กระแสเพิ่มขึ้นเท่าไหร่เลยก็ต้องดึงสายชาร์จออกแล้วใช้งานต่อแล้ว ประมาณนั้นแหละครับ

            นี่แค่สองตัวอย่างเกี่ยวกับการลาพักร้อนนะครับ ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านน่าจะเจอมากกว่าที่ผมเล่าให้ฟังอีกหลายเรื่องเลยแหละ

          ถามว่าผมเห็นยังไงเกี่ยวกับการให้ลูกน้องลาพักร้อนกี่วันดี ?

            ก็คงตอบจากประสบการณ์ของผมที่เคยทำมาคือ เมื่อลูกน้องยื่นใบลาพักร้อนมาแล้วผมเห็นว่าไม่กระทบกับงานที่เขารับผิดชอบเพราะมีคนทำแทนได้

ผมก็จะอนุมัติให้เขาลาพักร้อนไปครับ

ถึงแม้คนทำแทนจะไม่ได้เก่งเหมือนลูกน้องคนที่ลาพักร้อนแบบเต็มร้อยก็ตาม ผมกลับมองว่าเป็นประโยชน์อย่างน้อย 3 เรื่องคือ

1.      เป็นการทดสอบระบบงานดูด้วยว่าถ้าลูกน้องคนเก่งคนนี้ไม่อยู่ยาว ๆ หน่วยงานของเราจะมีปัญหาอะไรมากน้อยแค่ไหน และใครที่สามารถทำแทนหรือแก้ปัญหาแทนได้ เป็น Successor ได้ เพราะเราไม่ควรเอางานไปแปะไว้ที่ตัวบุคคล คนใดคนหนึ่งมากจนขนาดที่ว่าขาดคน ๆ นี้ไม่ได้ ไม่งั้นวันดีคืนร้ายก็อาจจะมีการจับงานเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองขอเงินเดือนเพิ่ม หรือการเก็บความสำคัญไว้กับตัวเองและไม่ยอมสอนงานใครซึ่งก็จะเป็นปัญหาระยะยาวต่อไปอีก

2.      ทำให้เกิดการเรียนรู้งานใหม่ ๆ และเพิ่มทักษะการทำงานให้กับพนักงานในหน่วยงานให้มากขึ้น ซึ่งทำให้เราได้เห็น “แวว” หรือศักยภาพของพนักงานคนอื่น ๆ ในหน่วยงานที่ชัดเจนมากขึ้น

3.      ทำให้คนที่ทำงานดีมีเวลาพักผ่อน ชาร์จแบตให้กับตัวเองและลดความเครียดจากการทำงานลง และกลับมาด้วยความสดใสเพราะได้ไปชาร์จแบตกลับมา ทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้น

ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวและเป็นเรื่องที่ผมปฏิบัติตอนที่ทำงานประจำ ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่ดุลพินิจของแต่ละคนครับ