ปกติบริษัทมักจะจ้างที่ปรึกษาเข้ามาให้คำแนะนำในองค์ความรู้หรือประสบการณ์ที่บริษัทนั้นยังไม่มี
หรือมีแต่ยังไม่เพียงพอ
ซึ่งการใช้บริการที่ปรึกษาก็มีหลายรูปแบบไม่ว่าจะจ้างเข้ามาเป็นวัน ๆ เช่น
ในหนึ่งสัปดาห์ต้องเข้ามาให้คำปรึกษากี่วัน หรือการจ้างที่ปรึกษาเข้ามาทำโครงการโครงการหนึ่งในระยะเวลาหนึ่งพอที่ปรึกษาทำโครงการนั้น
ๆ เสร็จสิ้นก็ปิดจ็อบรับเงินจบกันไป แล้วบริษัทก็นำโครงการนั้นไปดำเนินการต่อ
เป็นเรื่องแปลกแต่จริงว่ายังมีบางแห่งจ้างที่ปรึกษาเข้ามาแบบมีวาระแอบแฝง
คือต้องการทั้งผลงานจากที่ปรึกษาเพื่อนำมาใช้งานของบริษัทกับต้องการใช้เป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดคนที่บริษัทไม่ต้องการออกไปด้วย
หรือเรียกตามสุภาษิตไทย
ๆ ว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ก็ว่าได้ครับ
มีวิธีทำยังกันบ้างเรามาดูกันดังนี้ครับ
1.
จ้างที่ปรึกษาเข้ามาทำงานแบบรายปี เช่นตกลงกันว่าให้ที่ปรึกษาเข้ามาทำงานสัปดาห์ละ
2 วัน
แล้วกำหนดให้พนักงานที่บริษัทเห็นว่ามีปัญหาเป็นคนเข้าไปขอคำปรึกษาแนะนำในการแก้ปัญหาหรือให้ที่ปรึกษาเข้ามาติดตามการบ้านที่ฝากพนักงานคนดังกล่าวเอาไว้ทุกครั้งที่ที่ปรึกษาเข้ามาบริษัท
โดยที่ปรึกษาจะประเมินตัวพนักงานแต่ละรายว่ามีผลการปฏิบัติงาน, ทัศนคติ, ศักยภาพ
ฯลฯ เป็นยังไงบ้าง สมควรจะให้ทำงานต่อไปหรือไม่
เรียกว่าให้ที่ปรึกษาช่วยยืนยันความคิดของฝ่ายบริหารอีกทีก็ว่าได้
2.
จ้างที่ปรึกษาเข้ามาทำงานโครงการใดโครงการหนึ่ง
แล้วให้พนักงานที่บริษัทกำหนดไว้เข้ามาเป็นผู้ประสานงานและรับผิดชอบโครงการตั้งแต่ต้นและรับช่วงต่อภายหลังจากจบโครงการแล้ว
ซึ่งกรณีนี้ฝ่ายบริหารก็จะประเมินว่าพนักงานดังกล่าวมีศักยภาพที่สามารถรับช่วงโครงการนั้น
ๆ ต่อไปได้ด้วยดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำได้ดีก็ทำต่อไปแต่ถ้าไม่สามารถรันโครงการนั้นต่อไปได้ก็มีโอกาสตกงานแหละครับ
ทั้งสองรูปแบบข้างต้นถ้าบริษัททำโดยไม่มีอคติหรือตั้งธงเอาไว้ก่อนว่าต้องการจะใช้ที่ปรึกษาเป็นเครื่องมือกำจัดพนักงานบางคนออก
แต่ต้องการให้ที่ปรึกษาเข้ามาให้คำปรึกษาและประเมินพนักงานกลุ่มเป้าหมายแบบ Cross Check ศักยภาพของพนักงานดังกล่าวให้ฝ่ายบริหารแน่ใจว่าประเมินไม่ผิดพลาดผมก็ว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไรนะครับ
เข้าทำนอง
“ทองแท้ไม่กลัวไฟ”
ถ้าพนักงานคนไหนมีขีดความสามารถมีศักยภาพที่ดีย่อมไม่กลัวการพิสูจน์ฝีมืออยู่แล้ว
แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดได้ในบางบริษัทคือบริษัทที่มีธงชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการกำจัดพนักงานคนใดคนหนึ่งออกจากบริษัท
(ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นผู้บริหารด้วยกัน)
แล้วก็จะจ้างที่ปรึกษาเข้ามาทำงานพร้อมกับมอบหมายให้ผู้บริหารที่เป็นลูกรักที่มีความเข้าใจในงานนั้นโดยตรงและลูกชังเข้าไปประสานงานทำงานกับที่ปรึกษาทั้ง
ๆ ที่โครงการนั้นก็ไม่ใช่งานโดยตรงของผู้บริหารที่เป็นลูกชัง
พอลูกชังไม่สามารถปฏิบัติงานได้ดีตามที่ฝ่ายบริหารมอบหมายก็จะได้ใช้เป็นสาเหตุบีบลูกชังทางอ้อมแบบหมาป่ากับลูกแกะ
เช่น ประเมินผลการปฏิบัติงานว่าขาดศักยภาพขาดผลงานทำงานไม่ได้ตามที่ได้รับมอบหมายซึ่งก็จะมีผลกับการขึ้นเงินเดือนได้น้อยหรือไม่ได้เลย,
ไม่ได้รับโบนัสหรือได้รับน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บริหารคนอื่นจนลูกชังต้องถอดใจลาออกไปเอง
หรืออาจจะแจ้งเลิกจ้างในกรณีที่บีบแล้วยังไม่ยอมลาออก
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ผมได้ฟังมาจากผู้บริหารที่ผมเคยเข้าไปทำ
Inhouse
Training ในแต่ละบริษัทเล่าให้ฟังเห็นว่าแปลกดีก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
แต่ผมเองก็ยังไม่เคยพบว่าตัวเองถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างที่เล่ามาข้างต้น
คนที่เป็นที่ปรึกษาจึงควรจะต้องเท่าทันบริษัทผู้ว่าจ้างด้วยเหมือนกันนะครับว่าเรากำลังกลายเป็นเครื่องมือในการกำจัดลูกชังของฝ่ายบริหารของบริษัทผู้ว่าจ้างด้วยหรือไม่
เพื่อจะได้ทำงานและวางตัวได้อย่างเหมาะสม มีจรรยาบรรณของการเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่จะไม่เข้าไปอยู่ในวังวนของการเมืองในองค์กรของบริษัททำนองนี้ด้วยนะครับ
……………………………..