วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ลูกน้องขายของออนไลน์ในเวลางาน..ทำไงดี


            คำถามแบบนี้เริ่มมีเข้ามามากขึ้นและเรื่องนี้คงจะทำให้คนที่เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้บริหารรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออยู่ไม่น้อย เพราะเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์พัฒนามามากแล้วหลายคนก็มีธุรกิจขายของบนเฟซบุ๊ค, อินสตาแกรมและก็มักจะเริ่มจากการทำเป็นอาชีพเสริม (ที่เรียกกันว่าทำเป็นไซด์ไลน์) พร้อม ๆ กับทำงานประจำไปด้วย

            ถ้าเป็นอาชีพเสริมหลังเลิกงานหรือวันหยุดก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่นี่มาโพสขายของ, ตอบคำถามลูกค้า, แจ้งอินบ๊อกซ์ต่อรองราคากันในเวลาทำงานนี่สิ ทำให้หัวหน้าอดไม่ได้ที่จะต้องตักเตือนกัน แต่ก็มีเสียงโต้จากลูกน้องมาว่า....

          “เงินเดือนบริษัทให้น้อยไม่พอกินหนูก็ต้องหารายได้เสริมบ้างน่ะสิ หนูต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งบ้านนะพี่” หรือ “แหม..แค่โพสเฟซแป๊บเดียวเองมาจ้องจับผิดอะไรกันนักหนางานก็ไม่ได้เสียหายสักหน่อย” หรือ “ผมไม่ได้ร่ำรวยเหมือนพี่นี่....” ฯลฯ

            ผมว่าเรื่องแบบนี้เริ่มมีมากขึ้นและมีการตั้งกระทู้เหมือนหัวเรื่องนี้ถี่ขึ้นในโลกออนไลน์

            ผมก็เลยนำเอาความคิดเห็น (บางส่วน) ของผู้คนจากกระทู้ทำนองนี้มาเล่าสู่กันฟังซึ่งมีทั้งคนเห็นว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย และคนที่เห็นว่าไม่เหมาะสมดังนี้ครับ

1.      ถ้าไม่กระทบกับงานหลักไม่ขัดกับธุรกิจที่บริษัททำอยู่ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าไม่อยากให้เขาทำอย่างงี้ก็ขึ้นเงินเดือนให้เขาซะ

2.      ในเวลางานต้องทำงานให้นายจ้าง ให้ทำได้ตอนพัก

3.      ถ้าไม่กระทบกับงานหลักก็ปล่อยเขา คนเรารายได้ไม่พอกินก็ต้องหารายได้เสริมกันบ้าง

4.      ปล่อยให้เขาขายไปเหอะ ทีหัวหน้ายังขายของออนไลน์ในเวลางานให้เห็นอยู่ทุกวันเลย

5.      เดี๋ยวนี้อาชีพเสริมเขาทำกันเกือบทุกคนอยู่ที่ว่าทำแบบไหน ผู้บริหารระดับหัวหน้าบางคนคุยโทรศัพท์ก็ใช่ว่าจะคุยเรื่องงานในบริษัท อาจคุยเรื่องธุรกิจส่วนตัวที่ไปลงทุนไว้หรือเล่นหุ้นก็ได้

6.      ไม่ให้ทำให้ฝ่ายบุคคลจัดการได้ เรื่องนี้ต้องใช้ฝ่ายบุคคลทำ เรามีวิธีการตักเตือนและใช้สิ่งแวดล้อมมาปรับพฤติกรรมพนักงานได้

7.      ตามหลักในเวลางานควรจะทำงานตามหน้าที่ ถ้าเขามีเวลาว่างไปขายของออนไลน์ก็เป็นความบกพร่องของนายจ้างส่วนหนึ่งที่ไม่ตักเตือนเพราะมันกระทบกับงานหลักอยู่แล้ว สมาธิจะไม่อยู่กับงานประจำ

8.      สามารถตักเตือนด้วยวาจาหรืออาจจะด้วยหนังสือเพื่อเป็นการสร้างวินัยในสำนักงาน สำหรับเหตุผลที่ว่าเงินเดือนไม่พอใช้ลูกจ้างสามารถพูดให้เราเห็นใจได้แต่เราไม่ควรเห็นใจ

ฯลฯ

            ข้างต้นนี้เป็นแค่เพียงน้ำจิ้มตัวอย่างของความคิดเห็นของคนในยุคนี้

            ซึ่งในบางความเห็นก็มีประเด็นหน้าสนใจเช่นในข้อ 4 และข้อ 5 ข้างต้นที่บอกว่าหัวหน้าก็ขายของออนไลน์เหมือนกัน หรือผู้บริหารก็เล่นหุ้นในเวลางานเหมือนกันถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกน้องขายของออนไลน์ในเวลางาน!!

          เรียกว่าใช้กฎ “Me too” เลยนะครับ หัวหน้าทำได้ลูกน้องก็ทำมั่งสิ

            ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังก็เพราะคิดว่าเราจะต้องเจอปัญหาทำนองนี้เพิ่มมากขึ้นตามยุคสมัย และอยากจะให้ท่านที่เกี่ยวข้องได้ลองกลับไปคิดดูให้ดีว่าเราจะรับมือกับเรื่องนี้กันยังไงดี

            การแก้ปัญหานี้ถ้ามองในมุมของ HR ก็ต้องว่ากันไปตามวินัยและการลงโทษของบริษัทแหละครับ ซึ่งก็มักจะขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารของแต่ละบริษัทที่จะมีวิธีปฏิบัติแบบ “เข้ม” แบบเด็ดขาดคือเลิกจ้างกันไปเลย

            หรือจะใช้มาตรการ “จากเบาไปหาหนัก” คือพูดจาตักเตือนกันก่อนไปจนถึงการลงโทษที่หนักขึ้นตามขั้นตอนทางวินัยที่บริษัทกำหนดจนที่สุดคือการเลิกจ้าง!!

            ถ้าใครมีไอเดียดี ๆ ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็แชร์ความรู้เล่าสู่กันฟังบ้างก็คงจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเจอปัญหานี้อยู่นะครับ
           
……………………………….