เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่าเราจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำกันทั้งหมด 7
อัตราโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561
เป็นต้นไป (รายละเอียดหาดูได้ในกูเกิ้ล)
แน่นอนว่าเมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำก็จะต้องมีผลกระทบตามมา
แต่จะมากหรือน้อยก็จะขึ้นอยู่ว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำนั้นมากหรือน้อยแค่ไหน
ยกตัวอย่างเช่น
ในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อปี 2555 นั้นมีผลกระทบที่แรงมากที่สุดนับตั้งแต่ผมทำงานด้านบริหารค่าตอบแทนมา
30 กว่าปีก็มีครั้งนี้แหละที่ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 40 เปอร์เซ็นต์
ส่วนในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อ 1 มกราคม
2560 ก็ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
และในปี 2561 นี้เราก็มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นประมาณ
4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้จะดูเผิน ๆ
อาจจะมีเปอร์เซ็นต์ไม่สูงนักก็ตามแต่ก็จะมีผลกระทบกับบริษัทในบางเรื่องตามที่ผมจะได้อธิบายต่อไป
เรามาดูกันไหมครับว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำไม่ว่าในครั้งนี้หรือครั้งไหนก็ตามจะมีผลกระทบอะไรกับบริษัทของท่านบ้าง
1.
ต้นทุนในการจ้างพนักงานเข้าใหม่ในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น
เฉพาะต้นทุนเรื่องเงินเดือนเพียงอย่างเดียวก็จะสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ต่อคน
แต่จะเพิ่มขึ้นรวมเป็นเงินเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทว่าจะรับพนักงานเข้าใหม่
(Unskilled Labor) เข้ามากี่คน
แต่ละบริษัทก็คำนวณกันเอาเองนะครับ
2.
บริษัทต้องปรับเงินเดือนพนักงานเก่าที่ทำงานมาก่อนทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาคนเก่าเอาไว้
เช่น พนักงานที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้วได้เงินเดือน 310 บาทได้ขึ้นเงินเดือน
5 เปอร์เซ็นต์ เงินเดือนปัจจุบัน 325 บาทก็จะเท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำของพนักงานที่เข้ามาใหม่ที่ยังไม่รู้งานเลย
แต่คนเก่าที่เข้ามาปีที่แล้วเขารู้งานแล้ว ถ้าไม่ปรับค่าจ้างให้คนเก่าก็อาจจะทำให้คนเก่าลาออก
ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่บริษัทว่าจะปรับให้คนเก่าหรือไม่
ถ้าคิดว่าถ้าคนเก่าลาออกไปแล้วคนใหม่ทำแทนได้โดยสอนงานไม่นานนักก็ทำได้
ก็ไม่ต้องปรับ แต่ถ้าคิดว่ามีผลกระทบก็ต้องปรับเงินเดือนให้คนเก่า
ส่วนจะปรับให้เท่าไหร่ วิธีไหนยังไงต้องมาว่ากันในรายละเอียดของแต่ละบริษัทต่อไป
แต่ที่แน่ ๆ
คือต้นทุนการปรับเงินเดือนคนเก่าเพิ่มขึ้นแหง ๆ ครับ
3.
บริษัทอาจจะต้องปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิสำหรับพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่เพื่อหนีผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ต้นทุนเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามจำนวนอัตรากำลังที่จะรับพนักงานจบใหม่ในคุณวุฒิต่าง
ๆ เข้าทำงาน เช่น ปวช.,ปวส.,ปริญญาตรี, ปริญญาโท
ท่านลองดูตารางที่ผมทำมาข้างล่างนี้สิครับจะได้เห็นภาพชัดขึ้น
จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้าไม่ปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิปวช.หรือปวส.ก็คงจะมีปัญหาแหละ
นี่ผมไม่ได้ปรับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นนะครับ เพราะยังเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ความห่างระหว่างปวส.ถึงปริญญาตรียังพอไหว
แต่ถ้าบริษัทไหนจะปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิปริญญาตรีเพิ่มขึ้น ก็แน่นอนครับว่าจะมีต้นทุนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ตรงนี้ในรายละเอียดคงต้องกลับไปดูว่าบริษัทของท่านกำหนดอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิกันไว้เท่าไหร่กันบ้างและควรจะปรับเพื่อหนีผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำดีหรือไม่
4.
บริษัทต้องปรับเงินเดือนคนเก่าที่จบคุณวุฒิเดียวกันและเข้ามาก่อน
เช่น
พนักงานจบปวช.เมื่อปี 2560
บริษัทรับเข้าทำงานในอัตรา 10,000 บาท
ได้ขึ้นเงินเดือนประจำปีนี้ 5 เปอร์เซ็นต์ เงินเดือนใหม่ 10,500
บาท ซึ่งจะเท่ากับการรับพนักงานจบปวช.ใหม่ที่บริษัทปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้
(สมมุติว่าบริษัทปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิปวช.เข้าใหม่ให้เริ่มต้นที่ 10,500
บาท ปีที่แล้วเริ่มต้นที่ 10,000 บาท)
ถ้าไม่ปรับเพิ่มให้ก็อาจจะทำให้คนเก่าลาออกในขณะที่คนใหม่ก็ยังไม่รู้งานอะไรเลย
ซึ่งพนักงานเก่าที่รับเข้ามาก่อนหน้านี้ในคุณวุฒิอื่น ๆ ก็อยู่ในปัญหาเดียวกัน
ดังนั้นถ้าบริษัทปรับเงินเดือนคนเก่าเหล่านี้ก็จะทำให้ต้นทุนการปรับเงินเดือนสูงขึ้นแหง
ๆ อยู่แล้วครับ
5.
เปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีของพนักงานจะลดลงเมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์การเติบโตของค่าจ้างในตลาดภายนอกบริษัท
ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก 3 เรื่องคือ
5.1
บริษัทอาจจะต้องปรับเงินเดือนพนักงานที่เป็น
Talent หรือพนักงานที่มีความสามารถที่บริษัทเห็นว่าสำคัญเพื่อรักษา
Key
Position เหล่านี้เอาไว้
5.2
พนักงานที่ทำงานปานกลางถึงค่อนข้างดีอาจจะลาออกถ้าพบว่าเงินเดือนของตัวเองถูกคนเข้าใหม่จี้หลังเข้ามามากเกินไป
5.3
พนักงานที่ยังไปไหนไม่ได้และยังจำเป็นต้องอยู่กับบริษัทก็จะเริ่มก่อหวอดเรียกร้องขอเงินเดือนเพิ่มจากฝ่ายบริหาร
เพื่อให้ท่านเห็นภาพที่ผมบอกมาชัดขึ้นผมเลยนำตารางมาให้ดูกันดังนี้ครับ
ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดเป็นร้อยคำ
จากตารางข้างต้นท่านจะเห็นได้ว่าถ้าในปีนี้ (2561) บริษัทขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ก็เท่ากับพนักงานได้รับการขึ้นเงินเดือนจริงต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ+เงินเฟ้อ ซึ่งเป็นอัตราเติบโตของค่าจ้างนอกบริษัท
6.
จากข้อ 5 จึงอธิบายได้ว่าเมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำก็จะมีผลต่อเปอร์เซ็นต์การเติบโตของอัตราการจ้างสำหรับตลาดภายนอกบริษัททุกครั้งและจะทำให้เปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนที่พนักงานจะได้รับมีแนวโน้มลดลง
ส่วนจะมากหรือน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละครั้งว่ามากหรือน้อยแค่ไหน
ซึ่งจะเกิดผลกระทบระหว่างเปอร์เซ็นต์การเติบโตของค่าจ้างภายนอกกับภายในบริษัทเช่นนี้อยู่เสมอ
7.
มีแนวโน้มที่จะต้องปรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็จะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ความห่างระหว่างค่าจ้างขั้นต่ำกับค่าจ้างตามทักษะวิชาชีพ
เช่นตอนนี้ค่าจ้างพนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างระดับ1 จะได้วันละ
360 บาทซึ่งตอนนี้จะห่างจากค่าจ้างขั้นต่ำในกทม.(325 บาท) อยู่ 10.8 เปอร์เซ็นต์
ถ้ามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไปแล้วมีเปอร์เซ็นต์ความห่างลดลงมากกว่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะต้องมีประกาศปรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน
ก็จะทำให้ตลาดจะมีการปรับค่าจ้างเงินเดือนในตำแหน่งงานต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น
และบริษัทก็จะต้องจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานเพิ่มขึ้นตามประกาศของกระทรวงแรงงานซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนของบริษัทในส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
8.
อาจจะต้องมีการ Update โครงสร้างเงินเดือนใหม่
ถ้าพบว่าค่าจ้างในตลาดในตำแหน่งงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะถ้าไม่ Update โครงสร้างเงินเดือนของบริษัทก็จะจ่ายต่ำกว่าตลาดแข่งขัน (Under
Paid) ซึ่งจะกระทบกับความสามารถในการรักษาคนในและจูงใจคนนอกเข้ามาร่วมงานกับบริษัทในที่สุด
ทั้งหมดที่บอกมานี้คือสิ่งที่ผมนึกออกในตอนนี้ว่าถ้ามีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
(ไม่ว่าจะครั้งไหนก็ตาม) จะมีผลกระทบอะไรกับบริษัทบ้าง จึงเอาเรื่องเหล่านี้มาแชร์ให้กับคนที่เป็น
Compensation
Manager หรือคนที่เกี่ยวข้องจะได้นำมาคิด วิเคราะห์
และวางแผนเพื่อรับมือกับผลกระทบในแต่ละด้านเพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขให้กับฝ่ายบริหารได้ทันท่วงที
หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่เกี่ยวข้องในการรับมือกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนะครับ
………………………………..