ผมเห็นการตั้งคำถามแบบนี้บนโลกออนไลน์แล้วก็มีคนเข้ามาตอบกัน
เจ้าของกระทู้ถามว่าบริษัทให้เงินเดือนเด็กจบใหม่มากกว่าคนเก่าที่ทำงานมาก่อน
4 ปี โดยยกตัวอย่างว่านาย A เริ่มทำงานด้วยเงินเดือน 16,000
บาท ทำงานผ่านไป 4 ปีได้ขึ้นเงินเดือนปีละ 5
เปอร์เซ็นต์ทำให้เงินเดือนปีที่ 4 เท่ากับ 19,448
บาท
แล้วบริษัทก็รับนาย
B จบใหม่เข้ามาทำงานในตำแหน่งเดียวกับนาย A โดยให้เงินเดือนเริ่มต้นที่
20,000 บาท แล้วมาให้คนเก่าสอนงานเสียอีกต่างหากเลยทำให้นาย A
ไม่อยากสอนงานนาย B
ถามว่าเพราะอะไรบริษัทถึงทำอย่างนี้
ผมว่าถ้าผู้ถามได้อ่านบทความที่ผมเคยเขียนไปเมื่อปีที่แล้วคือ
“การขึ้นเงินเดือนประจำปีไม่ใช่ความก้าวหน้า”
(ไปเสิร์จหาคำนี้ในกูเกิ้ลดูนะครับ) จะเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ผมยังมีข้อคิดเพิ่มเติมแบบตรงไปตรงมาในมุมมองของผมดังนี้
1.
ต้องยอมรับความจริงว่าอัตราเติบโตของเงินเดือนภายนอกบริษัทมีมากกว่าในบริษัท
1.1
เมื่อปีที่แล้ว (2560) เราปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก 300 เป็น 310
บาท เพิ่มขึ้น 3.3% อัตราเงินเฟ้อปีที่แล้วประมาณ
1%
1.2
ปีนี้ (2561) เราปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มจาก
310 เป็น 325 บาท เพิ่มขึ้น 4.8%
อัตราเงินเฟ้อประมาณ 1%
1.3
จากผลการสำรวจค่าตอบแทนในหลาย ๆ แห่งพบว่าค่าเฉลี่ยในการขึ้นเงินเดือนประจำปี
2561
อยู่ที่ประมาณ 5% เท่ากับปีที่แล้วเมื่อหักอัตราเงินเฟ้อออกแล้วจะพบว่าในปี 2560 เราก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าจริง 4% ในขณะที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งเป็นการเติบโตของค่าจ้างภายนอกบริษัทเพิ่มขึ้น
3.3% เราก็จะมีส่วนต่างจากอัตราเติบโตภายนอกบริษัทเพียง 0.7%
เท่านั้น
ส่วนในปีนี้ 2561 เราก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าจริง 4% (เท่าปีที่แล้ว)
ในขณะที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 4.8% เท่ากับเราได้ขึ้นเงินเดือนแบบติดลบคือ
-0.8% นั่นคือการเติบโตของเงินเดือนในบริษัทเราน้อยกว่าการเติบโตของเงินเดือนภายนอกบริษัท!
ตามตารางนี้ครับ
2.
นาย A จะอ้างว่าทำงานมานานกว่านาย
B เด็กใหม่ แต่การทำงานมานานกว่าไม่ได้แปลว่าจะมีผลงานที่ดีกว่าหรือมีศักยภาพหรือขีดความสามารถสูงกว่าคนใหม่เสมอไป
เพราะการที่บริษัทจะตั้งเงินเดือนให้กับคนเข้าใหม่
หรือจะปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานคนไหนก็มักจะเป็นไปตามสูตร
เงินเดือน/ค่าจ้าง = P+C (P=Performance-ผลงาน
และ C=Competency-ความสามารถ)
เมื่อนาย A ทำงานมา
4 ปีแต่ได้ขึ้นเงินเดือนปีละ 5% มาโดยตลอด
ก็แสดงว่าบริษัทมองว่านาย A มีผลงานและความสามารถเท่าที่บริษัทขึ้นเงินเดือนให้คือปีละ
5% เท่านั้นแหละครับ
และในทำนองเดียวกันการที่บริษัทตั้งเงินเดือนให้กับนาย
B ที่ 20,000 บาท ก็แปลว่าบริษัทพิจารณาแล้วว่านาย B
มีผลงาน+ความสามารถเหมาะสมที่จะได้เงินเดือน 20,000
บาท
ซึ่งการตั้งเงินเดือนคนเข้าใหม่หรือการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานนั้น
ฝ่าย HR
ไม่ได้มีอำนาจอนุมัติไปปรับขึ้นให้ใครได้เองนะครับ HR เป็นเพียงผู้นำเสนอตัวเลขที่เห็นว่าเหมาะสมให้กับฝ่ายบริหารพิจารณาเพื่ออนุมัติ
ซึ่งก็แปลว่านี่เป็นการพิจารณาของฝ่ายบริหาร (หรือบริษัท) แล้วว่าใครจะมี P+C
ที่บริษัทเห็นความสำคัญมาก-น้อยแค่ไหน
3.
จากสองปัจจัยหลัก ๆ ตามข้อ 1และข้อ
2 คืออัตราเติบโตของเงินเดือนภายในบริษัทต่ำกว่าการเติบโตภายนอก
และนาย A ก็มี P+C ที่ยังไม่เข้าตาบริษัท ในขณะที่บริษัทเห็นว่านาย B น่าจะมีศักยภาพมากกว่านาย
A จึงตัดสินใจจ้างนาย B เข้ามาในเงินเดือนที่สูงกว่าที่นาย
A ได้รับอยู่ในปัจจุบัน
4.
คำถามก็คือนาย A ควรจะทำยังไงดีระหว่างการบ่นด่าว่าบริษัท
(และ HR) กับการคิดหาทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง?
5.
ถ้านาย A เชื่อมั่นว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถ
(มี P+C) หรือเรียกว่า “มีของ” แต่บริษัทมองไม่เห็น “ของ”
ที่นาย A มี ก็ถึงเวลาที่นาย A จะต้องร้องเพลงของพี่ตูนบอดี้สแลมคือ
“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง”
แล้วออกไปแตะขอบฟ้าที่อื่นที่ไม่ใช่บริษัทนี้แล้วแหละครับ
และควรจะเริ่มคิดหาวิธีออกจากฝั่งนี้ไปตามความเชื่อมั่นของเราที่ฝั่งใหม่ได้แล้ว
6.
แต่ถ้านาย A ยังไม่ตัดสินใจจะทำอะไรและยังคงทำงานเหมือนเดิมต่อไปก็ต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่
แต่ก็อย่าไปคาดหวังว่าอะไรจะดีขึ้น
เพราะมีคำ ๆ
หนึ่งที่ไอน์สไตน์เคยบอกเอาไว้ว่า “มีแค่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ
แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” (Insanity is doing the same thing over and
over again and expecting different results.)
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ทัศนคติ”
ของตัวเราเอง
อย่ามัวคิดแต่เสียเวลาคิดก่นด่าว่าคนอื่น หรือดูถูกตัวเองว่าเรามันไม่มีความสามารถ
เรามันแย่ เรามันไม่มีหนทางจะไป ฯลฯ
เพราะใครดูถูกเราก็ไม่เท่าเราดูถูกตัวเอง!
ลองมาทบทวนดูว่าตัวเรามีความรู้ความสามารถอะไรบ้างและเราได้ใช้ความสามารถของเราอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
ถ้าทางเดินในปัจจุบันมันถึงทางตันแล้วเราจะยังคงดันทุรังเดินหน้าต่อไปในทางตันโดยไม่หาทางเดินใหม่เลยหรือครับ
ผมเชื่อว่าหนทางของความสำเร็จจะมีอยู่เสมอถ้าเรามองหามัน!
และอีกหนึ่งคำคมของไอน์สไตน์ก็คือ....
“ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่มีความสุข
จงพันธนาการชีวิตด้วยจุดหมาย ไม่ใช่ผู้คนหรือสิ่งอื่นใด” (If you want to
live a happy life, tie it to a goal, not to people or things.)
ถ้าใครที่มีปัญหาคับข้องใจเหมือนกับชื่อบทความนี้เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
น่าจะคิดได้แล้วนะครับว่าเราควรจะมามัวเสียเวลาพันธนาการชีวิตของเราเอาไว้อยู่กับบริษัทนี้หรือพันธนาการชีวิตเราอยู่กับการเปรียบเทียบเงินเดือนกับคนเข้าใหม่พร้อมกับด่าบริษัทแบบนี้ไปเรื่อย
ๆ วนเวียนเหมือนพายเรือในอ่างอยู่อย่างนี้
หรือถึงเวลาที่เราควรจะต้องเริ่มกำหนดจุดหมายในชีวิตให้ชัดเจน
แล้วเริ่มต้นออกเดินไปสู่เป้าหมายที่เรากำหนดเสียที
เรื่องไหนควรจะเป็นเรื่องที่เราใช้เวลาคิดหาทางแก้ปัญหานี้มากกว่ากันนะครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
…………………………………….