วันนี้ผมมีเรื่องแปลก
ๆ เกี่ยวกับการลาออกมาเล่าสู่กันฟังกับท่านอีกแล้วนะครับ
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เราท่านพบเห็นได้ในชีวิตการทำงานอยู่เสมอ ๆ
นั่นคือ..การลาออกครับ
ปกติแล้วการลาออกนั้นถือเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างจากทางฝั่งลูกจ้างคือลูกจ้างไม่อยากจะทำงานที่บริษัทนี้อีกต่อไปก็ยื่นใบลาออกให้หัวหน้าทราบว่าชั้นไม่อยากจะทำงานที่นี่อีกต่อไปแล้วนะ
ซึ่งโดยทั่วไปบริษัทต่าง ๆ ก็มักจะมีกฎเกณฑ์คล้าย ๆ
กันว่าถ้าพนักงานจะยื่นใบลาออกก็ให้ยื่นล่วงหน้าสัก 30 วันหรือ 1 เดือนนั่นแหละครับ เขาจะได้หาคนมารับมอบงานหรือส่งมอบงานให้คนใหม่ได้ทันโดยไม่ทำให้งานเสียหาย
แต่นั่นก็เป็นการลาออกตามระเบียบบริษัทนะครับ
เพราะในความเป็นจริงแล้วในกรณีที่ลูกจ้างมีปัญหาอะไรก็ตามกับนายจ้าง
ลูกจ้างก็มักจะยื่นใบลาออกวันนี้แล้วระบุวันที่มีผลลาออกเป็นวันพรุ่งนี้เสียเป็นส่วนใหญ่โดยไม่แคร์ว่าระเบียบบริษัทจะบอกไว้ยังไง
ซึ่งในกรณีนี้ในทางกฎหมายแรงงานแล้วก็ถือว่าถ้าลูกจ้างระบุวันที่มีผลลาออกเอาไว้วันไหนในใบลาออกลูกจ้างก็พ้นสภาพได้ในวันที่ระบุเลยนะครับ
โดยไม่ต้องให้นายจ้างมาอนุมัติการลาออกด้วยซ้ำไป ส่วนถ้านายจ้างจะเสียหายจากการที่ลูกจ้างยื่นใบลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบบริษัทหรือทำให้บริษัทเสียหายยังไง
บริษัทก็ต้องไปฟ้องร้องลูกจ้างกันเอาภายหลังครับ
แต่เรื่องที่ผมนำมาคุยกันในวันนี้เป็นปัญหาในการลาออกอีกแบบหนึ่งน่ะสิครับ
คือลูกจ้างยื่นใบลาออกกับนายจ้าง แต่ไปฟ้องศาลแรงงานว่าถูกเลิกจ้างโดยนายจ้าง !!??
ตัวอย่างเช่น นายมนู (นามสมมุติ) ทำงานบกพร่องต่อหน้าที่จนถูกบริษัทย้ายให้ไปทำงานในตำแหน่งอื่นและลดเงินเดือนลง
(โดยนายมนูก็ยินยอม) และบริษัทก็ออกหนังสือตักเตือนให้นายมนูปรับปรุงตนเองใน 3
เดือน ต่อมานายมนูก็ต่อรองกับทางบริษัทโดยให้บริษัททำหนังสือเลิกจ้างตนเอง
แต่บริษัทเสนอกลับมาว่าให้นายมนูเขียนใบลาออกมาแล้วบริษัทจะจ่ายเงินพิเศษให้เท่ากับเงินเดือน
3 เดือน
นายมนูตกลงเขียนใบลาออกนำมายื่นให้ทางบริษัทโดยระบุสาเหตุการลาออกไว้ว่าถูกบริษัทเลิกจ้าง
?
แล้วนายมนูก็ไปฟ้องศาลแรงงานโดยบอกว่าถูกบริษัทเลิกจ้าง
(โดยอ้างตามสาเหตุในใบลาออก)
กรณีนี้ศาลฎีกาท่านได้ตัดสินไว้ว่า
“....แม้ใบลาออกจะระบุเหตุที่ลาออกว่าถูกเลิกจ้าง ก็ไม่ถือว่าลูกจ้างถูกเลิกจ้าง
เพราะลูกจ้างเป็นฝ่ายเขียนใบลาออก
นายจ้างไม่ได้กระทำการใดที่ไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้าง....” (ฎ.2393/2545)
หรืออีกสักตัวอย่างหนึ่งดังนี้ครับ
คุณบังอร
(นามสมมุติ)
ทำงานเป็นพนักงานขายหน้าร้านแล้วรู้จักกับลูกค้าเป็นการส่วนตัวเที่ยวเตร่ด้วยกันจนสนิทสนมกันขนาดหยิบยืมเงินจากลูกค้าอยู่บ่อย
ๆ
ก็เลยถูกผู้จัดการฝ่ายขายตำหนิพฤติกรรมที่หยิบยืมเงินลูกค้าอย่างรุนแรงว่าไม่เหมาะสมเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี
ทำอย่างนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงของบริษัทและอาจจะกระทบกระเทือนถึงตำแหน่งหน้าที่ของคุณบังอรได้
คุณบังอรก็เลยย้อนถามว่า “แล้วบริษัทจะเอายังไง”
ผู้จัดการฝ่ายขายก็เลยบอกให้คุณบังอรพิจารณาตัวเอง คุณบังอรก็เลยยื่นใบลาออก
แล้วคุณบังอรก็เลยไปฟ้องศาลแรงงานว่าถูกหัวหน้าหลอกลวงให้ลาออกทั้ง ๆ
ที่คุณบังอรยังไม่อยากลาออก ?
เรื่องนี้ศาลฎีกาตัดสินว่า “....ไม่ใช่เป็นการหลอกลวงให้ลูกจ้างลาออก
กรณีเป็นเรื่องที่ลูกจ้างสมัครใจลาออกเอง ไม่ใช่ถูกนายจ้างเลิกจ้าง” (ฎ.9450/2545)
จากเรื่องที่ผมเล่ามาข้างต้นจึงมาสู่ข้อสรุปที่ว่า....
ก่อนที่ท่านจะยื่นใบลาออกก็คิดให้ดีเสียก่อนจึงไม่ควรจะเขียนใบลาออกในขณะที่ท่านกำลังมีอีคิวที่ไม่ปกติ
เช่น กำลังโกรธ, กำลังท้อ, กำลังเซ็ง, กำลังเบื่อหน่าย ฯลฯ
คิดให้รอบคอบในสภาพจิตที่ปกติโดยใช้เหตุใช้ผลให้ดี
เพราะเมื่อท่านตัดสินใจยื่นใบลาออกเมื่อไหร่ก็จะมีผลตามที่ท่านระบุไว้ทันที
และจะมาเปลี่ยนประเด็นว่าเป็นการถูกเลิกจ้างมันขัดแย้งกัน
เพราะเราเป็นคนเซ็นใบลาออกเองระบุวันที่มีผลลาออกเองนี่ครับ
………………………….