เรื่องเงินทองของบาดใจนี่มักจะเป็นปัญหาในทุกบริษัทเลยก็ว่าได้นะครับ
เพราะสัจธรรมที่ผมเคยพูดไว้เสมอ ๆ ว่า “เงินเดือนเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่”
นี่แหละครับ (หรือใครว่าไม่จริง..อิ..อิ..)
วันนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องของเงินเดือนของพนักงานเข้าใหม่ซึ่งปกติแล้วทาง
HR ควรจะเป็นผู้กำหนดตามนโยบายที่ชัดเจนของบริษัทโดยผมแบ่งคนเข้าใหม่ออกเป็น 2
กลุ่มคือ
1.
พนักงานที่จบใหม่เอี่ยมและยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน
และ
2.
พนักงานที่เคยทำงานและมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว
ผมมักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งที่ในหลายบริษัทไม่มีการกำหนดอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามคุณวุฒิ (Starting Rate) ที่จบ
(กรณีจ่ายตามคุณวุฒิที่จบ) หรือกำหนดอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามตำแหน่งงานนั้น ๆ
(กรณีที่จ่ายตามตำแหน่งงาน) ที่ชัดเจน
แต่จะจ่ายตามความรู้สึกของผู้บริหารหรือไม่ก็จ่ายไปตามแต่ที่ผู้สมัครขอมา
เช่นถ้าผู้สมัครงานขอเงินเดือนมามากแล้วผู้บริหารคิดว่าน่าจะเหมาะก็ตกลงให้มากโดยที่หลายครั้งเมื่อรับผู้สมัครรายนี้เข้ามาแล้วกลับทำงานสู้คนเก่าที่ทำงานอยู่เดิมในตำแหน่งเดียวกันไม่ได้ก็เลยเกิดปัญหาดราม่ากันต่อไปอีก
หรือบางที่ก็จะพบว่าผู้สมัครงานขอเงินเดือนมาน้อยแบบเจียมเนื้อเจียมตัวผู้บริหารก็เลยให้ไปตามที่ขอ
แต่ต่อมาผู้สมัครรายนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปจนมีความสามารถและผลงานมากขึ้นแต่เงินเดือนที่ได้รับกลับน้อยกว่าเพื่อนที่เก่งน้อยกว่าก็เลยลาออกทำให้บริษัทเสียคนดีมีฝีมือไปเสียอีก
นี่แหละครับคือตัวอย่างของการจ่ายเงินเดือนกันแบบ
“มโน” ตามความรู้สึกแล้วก็จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาในภายหลัง ซึ่งเผลอ ๆ
บริษัทของท่านก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ใช่ไหมล่ะครับ ?
ถ้างั้นควรทำยังไงเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ลง ?
ผมเสนอดังนี้ครับ
1.
บริษัทของท่านควรมีการกำหนดอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามคุณวุฒิสำหรับกรณีพนักงานจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานให้ชัดเจน
เช่น จบบริหารธุรกิจ, บัญชี, นิติศาสตร์, รัฐศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, สารสนเทศ ฯลฯ
แล้วเข้ามาทำงานในตำแหน่ง........บริษัทจะจ่ายเงินเดือนเท่าไหร่, ค่าวิชาเท่าไหร่, ค่าภาษาเท่าไหร่ ฯลฯ เป็นต้น
แล้วเมื่อผู้สมัครงานคนไหนสามารถผ่านการทดสอบข้อเขียน (ถ้ามี)
หรือสัมภาษณ์เข้ามาได้บริษัทก็จะจ่ายให้ตามอัตราเริ่มต้นที่กำหนดไว้ เช่น
บริษัทกำหนดอัตราเริ่มต้นตามวุฒิไว้สำหรับคนจบวิศวกรรมศาสตร์เข้ามาทำงานเป็นวิศวกรในสายการผลิตเดือนละ
20,000
บาท ก็ต้องจ่ายตามนี้ แม้ว่าผู้สมัครงานจะขอเงินเดือนมาที่ 18,000
บาทหรือผู้สมัครงานบางคนจะขอมาที่ 23,000 บาทก็ตาม
เพราะถ้าผู้สมัครงานสามารถผ่านการสัมภาษณ์และบริษัทตัดสินใจรับเข้ามาแล้วต้องจ่ายตามกติกาที่บริษัทกำหนดไว้ครับ
สำหรับผู้สมัครที่ขอเงินเดือนเกินกว่าอัตราที่บริษัทกำหนดไว้ก็ต้องมาพูดคุยกัน
ถ้าเขารับอัตราที่บริษัทกำหนดได้ก็จบ แต่ถ้าเขาไม่รับก็ต้องปล่อยไปแหละครับ
เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรมตามหลักของการบริหารค่าตอบแทนที่ดี
แต่ทั้งนี้การกำหนดอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิสำหรับพนักงานจบใหม่นั้น
HR
จะต้องทำการสำรวจตลาดค่าตอบแทนมาดีแล้วและหาอัตราที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันในตลาดด้วยนะครับไม่ใช่กำหนดขึ้นมาแบบนั่งเทียนหรือ
มโนขึ้นมาเอง
2.
ในกรณีตำแหน่งงานที่ผู้สมัครงานต้องมีประสบการณ์ทำงานก็จะมีหลักการคล้าย
ๆ กับข้อ 1
แต่ในบางบริษัทอาจจะมีวิธีคิดในการกำหนดอัตราเริ่มต้น
(Starting
Rate) สำหรับตำแหน่งงานที่ต้องมีประสบการณ์ทำงาน เช่น
สมมุติว่าบริษัทจ้างเจ้าหน้าที่การตลาดมาเมื่อ
3 ปีที่แล้วที่อัตราจบใหม่ 15,000 บาท ค่าเฉลี่ยขึ้นเงินเดือนประจำปีของบริษัทปีละประมาณ
6 เปอร์เซ็นต์ ปีที่ 1 เงินเดือนจะเท่ากับ 15,900
บาท (ขึ้นเงินเดือน 900 บาท) ปีที่ 2 เงินเดือนเท่ากับ 16,860 บาท (ขึ้นเงินเดือน 954
บาทแต่ปัดเศษให้ลงตัว) ปีที่ 3 เงินเดือนเท่ากับ
17,900 บาท (ขึ้นเงินเดือน 1,012
บาทแต่ปัดเศษให้ลงตัว)
ดังนั้น
ถ้าบริษัทจะรับเจ้าหน้าที่การตลาดเข้ามาใหม่โดยต้องการประสบการณ์ทำงาน 1 ปี
ก็จะมีอัตราจ้างอยู่ที่ 15,900 หรือ 16,000 บาท แต่ถ้ามีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีก็จะมีอัตราเริ่มต้นอยู่ที่
16,800 หรือ 17,000 บาท
และถ้ามีประสบการณ์ทำงาน 3 ปีจะมีอัตราเริ่มต้นที่ 17,900
หรือ 18,000 บาท เป็นต้น
วิธีคิดแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของพนักงานที่เข้ามาใหม่แล้วมีประสบการณ์ทำงานใกล้เคียงกับพนักงานเดิมที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งเดียวกันไม่ให้ลักลั่นกันมากจนเกินไป
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้คาดหวังให้ท่านก๊อปปี้วิธีที่ผมเสนอมาไปใช้ทั้งหมดนะครับ
เพียงแต่แค่เป็นการแชร์ไอเดียในวิธีที่ผมเคยทำมาเท่านั้น
ซึ่งอาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับบริษัทของท่านก็ได้แต่สิ่งที่ผมต้องการคืออยากให้ท่านลองคิดต่อยอดหรือพัฒนาวิธีการเหล่านี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากกว่าครับ
โดยวัตถุประสงค์ของเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้องการให้ท่านมีการบริหารค่าตอบแทนที่เสมอภาคและเป็นธรรม
จะได้ลดปัญหาดราม่าในบริษัทของท่านให้น้อยลงยังไงล่ะครับ
………………………………