เรามักจะเคยได้ยินเรื่องการหักค่าจ้างกันอยู่หลาย ๆ กรณีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัทหักค่าจ้างเพื่อค้ำประกันการเข้าทำงานในกรณีพนักงานเข้าใหม่บ้าง,
หักค่าจ้างเมื่อพนักงานทำให้บริษัทเกิดความเสียหายบ้าง ฯลฯ
แถมจำนวนเงินที่หักในแต่ละเดือนก็มากบ้างน้อยบ้าง
เมื่อไปดูในกฎหมายแรงงานก็จะพบว่ามีอยู่ในสองมาตราดังนี้ครับ
มาตรา ๗๖
ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด
และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เว้นแต่เป็นการหักเพื่อ
(๑)
ชำระภาษีเงินได้ตามจำนวนที่ลูกจ้างต้องจ่ายหรือชำระเงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้
(๒)
ชำระค่าบำรุงสหภาพแรงงานตามข้อบังคับของสหภาพแรงงาน
(๓) ชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์
หรือสหกรณ์อื่นที่มีลักษณะเดียวกันกับสหกรณ์ออมทรัพย์หรือหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว
โดยได้รับความยินยอมล่วงหน้าจากลูกจ้าง
(๔) เป็นเงินประกันตามมาตรา ๑๐
หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้าง ซึ่งลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
(๕) เป็นเงินสะสมตามข้อตกลงเกี่ยวกับกองทุนเงินสะสม
การหักตาม
(๒) (๓) (๔) และ (๕) ในแต่ละกรณีห้ามมิให้หักเกินร้อยละสิบ
และจะหักรวมกันได้ไม่เกินหนึ่งในห้าของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกำหนดเวลาการจ่ายตามมาตรา
๗๐ เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
เป็นยังไงครับ จากมาตรา 76
ข้างต้น ผมเชื่อว่าท่านคงจะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นแล้วนะครับ..
นั่นคือบริษัทจะหักเงินค่าจ้างหรือค่าโอที
(ภาษาคนทำงาน) ได้ ตาม 5 กรณีข้างต้นเท่านั้น
ซึ่งผมขออธิบายเพิ่มเติมคือ
การหักตามข้อ 1-3 คงไม่ต้องอธิบายเพราะชัดเจนอยู่ในความหมายแล้ว
แต่ในข้อ 4 กรณีบริษัทจะหักเงินค้ำประกันการเข้าทำงานนั้น
โดยปกตินายจ้างจะหักเงินค้ำประกันการเข้าทำงานจากลูกจ้างไม่ได้นะครับ นายจ้างจะหักเงินค้ำประกันการทำงานได้ก็เฉพาะตำแหน่งงานที่ลูกจ้างจะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้
(ตามมาตรา 10 ของกฎหมายแรงงาน) เท่านั้น เช่น
พนักงานเก็บเงิน, พนักงานที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลทรัพย์สินของนายจ้าง เป็นต้น
ถ้าลูกจ้างไม่ได้มีลักษณะงานที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้นั้น
นายจ้างจะไปโมเมมั่ว ๆ หักเงินค้ำประกันการทำงานไม่ได้นะครับ
อีกประการหนึ่งของข้อ 4 ในมาตรา 76 ข้างต้นคือ
นายจ้างจะหักเงินลูกจ้างได้เมื่อลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงถึงจะหักเงินได้นะครับ
ซึ่งก็ต้องมาดูข้อเท็จจริงว่าลูกจ้างได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่ทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายยังไงบ้างถึงกับจะต้องมีการหักเงินใช้หนี้กัน
อีกประการหนึ่งคือจำนวนเงินที่นายจ้างจะหักเงินลูกจ้างได้นั้น
ในกรณีข้อ 2-5 ข้างต้น
จะหักแต่ละกรณีได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ
และรวมทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกำหนดจ่ายด้วยนะครับ
ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างเงินได้รับเงินเดือน
ๆ ละ 10,000 บาท
หากจะถูกหักเงินตามข้อ 2-5 ได้รายการละไม่เกิน 1,000 บาท และเมื่อรวมทุกกรณีแล้วต้องไม่เกิน 2,000 บาทครับ
นอกจากนี้ยังต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างให้หักเงินเป็นลายลักษณ์อักษรโดยลูกจ้างต้องเซ็นยินยอมเอาไว้อีกด้วย
ซึ่งตามมาตรา 77 ได้บอกไว้ดังนี้ครับ
มาตรา
๗๗
ในกรณีที่นายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
หรือมีข้อตกลงกับลูกจ้างเกี่ยวกับการจ่ายเงินตามมาตรา ๕๔ มาตรา ๕๕
หรือการหักเงินตามมาตรา ๗๖
นายจ้างต้องจัดทำเป็นหนังสือและให้ลูกจ้างลงลายมือชื่อในการให้ความยินยอมหรือมีข้อตกลงกันไว้ให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้
ผมเชื่อว่าท่านคงเข้าใจหลักการและวิธีการหักค่าจ้างได้ชัดเจน
และเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับการหักค่าจ้างพนักงานแล้ว และอยากจะฝากถึงบริษัทที่ยังหักเงินพนักงานแบบไม่ถูกต้องได้ลองกลับไปทบทวนดูและทำให้ถูกต้องต่อไปด้วยนะครับ
………………………….