อันที่จริงแล้ว
ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้างไว้หลายครั้งแล้วแต่ก็ยังมักจะมีคำถามในเรื่องสัญญาจ้างของคนที่เพิ่งจะได้งานทำและสอบถามมาอยู่เสมอ
ๆ แต่ไม่เป็นไรครับเรื่องพวกนี้ถามบ่อย ๆ ตอบบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ค่อย ๆ ซึม
(หมายถึงเข้าใจนะครับ ไม่ได้หมายถึงคนตอบหรือคนถามนั่งซึม) เรื่องเหล่านี้ไปเอง
คำถามมีอย่างนี้ครับ
1. เมื่อบริษัทรับเข้าทำงานแล้วทำสัญญาจ้างโดยมีการระบุว่าทดลองงาน
119 วัน เมื่อพ้นทดลองงานแล้ว
บริษัทถึงจะทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานประจำใช่หรือไม่
2. กรณีมีเงื่อนไขว่าเมื่อพ้นทดลองงาน
(ศัพท์คนทำงานเขาเรียกว่า “พ้นโปรฯ” หมายถึง Probation=ทดลองงาน
นั่นแหละครับ) แล้ว บริษัทจะปรับเงินเดือนให้อีก 2,000 บาท
จะมีวิธีคำนวณยังไงในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการทดลองงาน และการบรรจุเป็นพนักงานประจำ
3. หากบริษัททำสัญญาจ้างแบบมีระยะเวลา
พนักงานไม่ต้องมีช่วงเวลาทดลองงานใช่หรือไม่ และเมื่อครบระยะเวลาแล้ว
บริษัทจะต้องมีหนังสือแจ้งเตือนพนักงานอีกหรือเปล่า
ผมตอบแต่ละข้อดังนี้นะครับ
ตอบข้อ
1
: ถ้าบริษัทรับคุณเข้าเป็นพนักงานประจำ
บริษัทก็จะทำสัญญาอย่างที่คุณถามมานั่นแหละครับ โดยส่วนใหญ่มักจะระบุระยะเวลาทดลองงานไว้ไม่เกิน
120
วัน อย่างที่คุณถามมา เพราะเหตุผลว่า ถ้ามีการทดลองงานตั้งแต่ 120
วันขึ้นไปแล้วผลงานของพนักงานทดลองงานไม่เป็นที่น่าพอใจ
บริษัทก็จะต้องแจ้งผลว่าไม่ผ่านทดลองงาน ซึ่งก็มักจะให้พนักงานเขียนใบลาออกไป ซึ่งถ้าพนักงานเขียนใบลาออกก็ไม่มีปัญหาอะไรกับทางบริษัท
แต่ถ้าพนักงานไม่เขียนใบลาอออก
บริษัทก็ต้องทำหนังสือเลิกจ้างด้วยสาเหตุไม่ผ่านทดลองงาน ซึ่งก็จะเป็นประวัติด้านลบสำหรับพนักงาน
(ส่วนใหญ่พนักงานไม่ผ่านทดลองงานถึงเขียนใบลาออกเพราะไม่อยากมีปัญหากับบริษัทแห่งใหม่ที่ไปกรอกใบสมัครงานเพราะต้องให้ข้อมูลว่า
“ถูกเลิกจ้าง” เนื่องจากไม่ผ่านทดลองงาน)
แต่ในกรณีเลิกจ้างดังกล่าวบริษัทก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานตามกฎหมายแรงงานมาตรา
118
คือ พนักงานที่อายุงาน (นับแต่วันเข้าทำงานจนถึงวันที่เลิกจ้าง) 120
วันไม่เกิน 1 ปี จ่ายค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30
วัน
แต่ถ้าคุณผ่านทดลองงานบริษัทก็มักจะมีคำสั่งบรรจุให้คุณเป็นพนักงานประจำ
ดังนั้นส่วนใหญ่มักไม่ทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานประจำขึ้นมาใหม่หรอกครับ
จะใช้คำสั่งบรรจุเป็นตัวยืนยันกับพนักงานมากกว่า
ซึ่งสัญญาจ้างงานแบบนี้เรียกภาษากฎหมายว่า “สัญญาจ้างแบบไม่มีระยะเวลา”
คือจ้างเป็นพนักงานประจำกันจนกว่าพนักงานจะลาออก หรือจนเกษียณ
หรือจนบริษัทจะเลิกจ้างกันไปข้างหนึ่งนั่นแหละครับ
ตอบข้อ 2 : วิธีคิดก็คือ
นำเงินเดือนที่จะปรับเพิ่มคือ 2,000 บาท มาหาร 30 (คือ 1 เดือนทำงาน 30 วัน)
จะได้วันละ 67 บาท แล้วคุณพ้นโปรฯ
ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ในเดือนนั้นล่ะ เช่น พ้นโปรฯ วันที่ 18 มิถุนายน บริษัทก็จะจ่ายเงินเดือนส่วนเพิ่มนี้ให้คุณ 12 วัน (ตั้งแต่วันที่ 19-30 มิถุนายน) วันละ 67
บาท รวมเป็นเงิน 67x12=804 บาท
และในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป คุณก็จะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีก 2,000 บาทเต็มเดือนครับ
ตอบข้อ 3 : ปกติ “สัญญาจ้างแบบมีระยะเวลา”
บริษัทมักจะทำสำหรับพนักงานชั่วคราวที่จ้างเข้ามาทำงานเป็นโครงการเฉพาะเรื่องเฉพาะกิจเป็นครั้ง
ๆ ไป โดยระบุระยะเวลาการทำงานไว้อย่างชัดเจนในสัญญา เมื่อจบโครงการตามสัญญาพนักงานก็ไม่ต้องเขียนใบลาออก
และบริษัทก็ไม่ต้องบอกเลิกจ้าง โดยจะถือว่าสภาพการจ้างหมดไปโดยระยะเวลาในสัญญา
เช่น บริษัท ABC ทำสัญญาจ้างนายทรงยศ เข้ามาทำงานวิจัยตลาดคู่แข่งให้บริษัท โดยระบุระยะเวลาในสัญญาไว้
1 ปี ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2557 ถึง 31 พฤษภาคม 2558 เมื่อถึงวันที่
1 มิถุนายน 2558 นายทรงยศ
ก็ไม่ต้องมาทำงานกับบริษัท ABC อีกต่อไปโดยที่นายทรงยศไม่ต้องยื่นใบลาออก
และบริษัทก็ไม่ต้องทำหนังสือเลิกจ้าง โดยบริษัทจะต้องจ่ายค่าจ้างให้นายทรงยศจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม
2558
แต่ถ้าบริษัทยังปล่อยให้นายทรงยศมาทำงานต่อไปหลังจากครบสัญญา
ก็จะกลายเป็นว่าเกิดสภาพการจ้างต่อเนื่องดังนั้นจะกลายเป็นสัญญาจ้างแบบไม่มีระยะเวลา
(ซึ่งก็คือสัญญาจ้างพนักงานประจำทั่วไปนั่นเอง) ไปทันที
ถ้าบริษัทจะเลิกจ้างนายทรงยศเมื่อไหร่ก็จะต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานนับแต่วันแรกที่นายทรงยศเข้ามาทำงานกับบริษัทตามมาตรา
118
ของกฎหมายแรงงาน (ไป Search คำว่า
“กฎหมายแรงงาน” ในกูเกิ้ลดูนะครับว่ามาตรา 118 มีรายละเอียดยังไงบ้าง)
แต่ถ้านายทรงยศลาออกเองบริษัทก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
หวังว่าเราคงเข้าใจเรื่องของสัญญาจ้างตรงกันแล้วนะครับ
………………………………….