วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

หลักเกณฑ์ หลักกู และ Me too

           ประเทศชาติต้องมีกฎหมาย องค์กรบริษัทก็ย่อมต้องมีกฎระเบียบข้อบังคับ

            ทำไมต้องมี ?

            ในทุกสังคมย่อมมีทั้งคนประพฤติตัวดีและไม่ดี ซึ่งแน่นอนว่าคนประพฤติตัวไม่ดีแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าคนที่ทำตัวดี แต่ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ในการควบคุมความประพฤติของคนไม่ดีแล้ว ย่อมจะทำให้เกิดปัญหากับคนส่วนใหญ่กระทบถึงความสงบเรียบร้อยของสังคมนั้น ๆ และหลายครั้งที่ทำให้เกิดความเสียหายกับสังคมนั้น ๆ ตามมามากมาย

          ยิ่งถ้าคนในสังคมนั้น ๆ เห็นว่าคนที่ทำตัวฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ยังลอยนวลอยู่ได้ ก็จะเอาอย่างบ้างแบบ Me too สังคมนั้นก็จะเกิดปัญหาวุ่นวายตามมา

            หลักเกณฑ์หรือกติกาจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ปฏิบัติกับทุกคนในทุกสังคม เพราะจะสามารถตอบคำถามของผู้คนได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน ลดความรู้สึกไม่เป็นธรรมหรือสองมาตรฐานของผู้คนลงได้ดีกว่าการใช้หลักกูในการตอบคำถาม

            การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ยังสะท้อนได้ถึง “วินัย” ของผู้คนในสังคมนั้น ๆ อีกด้วย

          “วินัย” เป็นพื้นฐานที่สำคัญของคนและสำคัญอย่างมากในการพัฒนาคน

            นักกีฬาจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยถ้าขาดวินัยในการฝึกซ้อม

บริษัทจะก้าวหน้าไปไม่ได้ไกลถ้าคนในบริษัทขาดวินัยในการทำงาน

ประเทศชาติจะแก้ปัญหาหรือพัฒนาเรื่องใด ๆ ไปอย่างลำบากถ้าคนในชาติปราศจากวินัย

          ตัวที่ทำให้วินัยมีปัญหาก็คือ “หลักกู” ครับ

            หลักกูที่มักจะพยายามหาเหตุผลแบบแถ ๆ เพื่อเข้าข้างตัวเองว่าการไม่ทำตามหลักเกณฑ์นั้น เป็นสิ่งที่ชอบแล้ว ถูกแล้ว

            เช่น ตามระเบียบของบริษัทบอกไว้ว่าถ้าพนักงานมาทำงานสายเกินกว่า 8.00 น.หัวหน้าต้องเรียกลูกน้องมาตักเตือนด้วยวาจา, เป็นลายลักษณ์อักษร ฯลฯ

            แต่พอนาย A ลูกรักของหัวหน้ามาสายเป็นประจำ หัวหน้าก็ปิดตาซะข้างหนึ่ง หรือถ้ามีใครไปถามหัวหน้าว่าทำไมถึงไม่เรียกนาย A มาเตือนเรื่องมาสาย หัวหน้าก็ให้เหตุผลว่าเป็นดุลพินิจของพี่ พี่จะเตือนใครหรือไม่เตือนใครก็เป็นเรื่องของพี่ พวกคุณคนอื่น ๆ อย่ามาสายก็แล้วกัน

            ถ้าหัวหน้าใช้หลักกูตอบลูกน้องแบบนี้จะยังมีความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกน้องในหน่วยงานนี้เหลืออยู่ไหม ?

            แล้วถ้าลูกน้องคนอื่น ๆ จะลอง Me too อย่างงี้บ้างล่ะ หัวหน้าจะว่ายังไง ?

            หัวหน้าจับได้ว่านส.B แคชเชียร์ยักยอกเงินของบริษัท จึงมีการสอบสวนด้วยคณะกรรมการวินัยจากฝ่าย HR ฝ่ายเป็นกลางและมีหลักฐานชัดเจนชัดเจนว่านส.B ทุจริตยักยอกเงินของบริษัทจริง

แต่หัวหน้าใช้หลักกูบอกคณะกรรมการว่าขอให้เห็นกับความดีของนส.B ในอดีตมาหักล้างความผิดในครั้งนี้ว่าอย่าไล่นส.B ออก เพราะถ้าไล่นส.B ออกจะไม่มีแคชเชียร์คนไหนที่ทุ่มเททำงานหนักเท่านส.B ขอแค่ออกหนังสือเตือนก็พอ

หรือหลักกูของหัวหน้าบอกว่า นส.B เขายักยอกเงินแค่ 2 หมื่นบาทเอง และที่เขาทำไปอย่างนั้นเพราะเขาบอกว่าจำเป็นต้องเอาเงินไปจ่ายค่าเทอมลูก

หลักกูของหัวหน้าที่หนักกว่านั้นคือการให้เหตุผลที่จะไม่ทำตามหลักเกณฑ์ว่า ถ้าบริษัทไล่นส.B ออก เท่ากับบริษัททำร้ายครอบครัวของนส.B เพราะนส.B จะไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกเรียน อาจจะต้องเอาลูกออกจากโรงเรียน

คำถามคือ..ถ้าคณะกรรมการวินัยไม่ทำตามหลักเกณฑ์แต่ทำตามหลักกูของหัวหน้าคนนี้จะเกิดอะไรตามมา ?

ที่ผมฝอยมาข้างต้นนี้ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นทาสของหลักเกณฑ์นะครับ ถ้ากติกาหลักเกณฑ์ไหนไม่ Update หรือล้าสมัยก็สามารถปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะกับยุคสมัยได้เสมอ

กฎหมายยังมีการแก้ไขปรับปรุงอยู่เป็นระยะ กฎระเบียบข้อบังคับของบริษัทก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

แต่ที่สำคัญคือต้องยึดหลักเกณฑ์ในการบริหารคนให้มากกว่าหลักกู

โดยเฉพาะการใช้เหตุผลแบบแถ ๆ เพื่อใช้หลักกูอยู่เหนือหลักเกณฑ์

เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ตั้งแต่ระดับบริษัทยันประเทศชาติก็เพราะใช้หลักกู Overrule หลักเกณฑ์นี่แหละครับ !!

ยิ่งตำแหน่งสูงมากขึ้นเท่าไหร่แล้วใช้หลักกู Overrule หลักเกณฑ์ก็ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในการบริหารคนมากขึ้นเท่านั้น

จริงหรือไม่ ใช่หรือเปล่า ก็ต้องใช้หลักกาลามสูตรเพื่อหาคำตอบให้กับตัวท่านเองครับ