วันนี้ผมมีนิทานมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ
นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งรับพนักงานหญิงเข้ามาทำงานแล้วยังทดลองงานอยู่
แล้วบริษัทก็เพิ่งทราบว่าพนักงานตั้งครรภ์และต้องขอลาคลอดทำให้เกิดปัญหาขาดคนทำงาน
จากเหตุนี้ผู้บริหารก็เลยถาม HR ว่าถ้าบริษัทจะขอตรวจครรภ์ผู้สมัครงานก่อนรับเข้าทำงานจะผิดกฎหมายแรงงานหรือไม่
จากคำถามนี้ผมก็เลยมีคำถามกลับไปอย่างนี้ครับ
1.
ตอนสัมภาษณ์ผู้สมัครงานทั้ง HR และ
Line Manager ที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ไม่ได้สังเกตเลยหรือว่าผู้สมัครรายนี้ตั้งครรภ์อยู่
นับตั้งแต่ผู้สมัครเข้ามากรอกใบสมัคร, ทดสอบข้อเขียน, สัมภาษณ์ ฯลฯ
ซึ่งน่าจะท้องแก่พอสมควรแล้วน่าจะสังเกตเห็น
2.
จากข้อ 1
เมื่อคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ได้สังเกตและผู้สมัครเองก็ผ่านกระบวนการต่าง ๆ
มาจนถึงขั้นบริษัทรับเข้ามาทดลองงานแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของทั้ง HR
และ Line Manager ซึ่งก็ต้องให้พนักงานลาคลอดตามกฎหมายแรงงานครับ
และถ้าบริษัทเลิกจ้างพนักงานเพราะเหตุนี้นี่ผิดกฎหมายแรงงานมาตรา 43 แน่นอนครับ
3.
เคสแบบนี้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวแต่บริษัทจะเอาเหตุนี้มาขอตรวจครรภ์ผู้สมัครหญิงทุกคนที่บริษัทจะรับเข้าทำงานนั้นเหมาะควรแล้วหรือ
ลองคิดแบบใจเขา-ใจเราดูนะครับว่าถ้าเราเป็นผู้สมัครหญิงจะรู้สึกยังไงและอยากจะมาทำงานกับบริษัทของเราหรือไม่
4.
บริษัทอาจขอตรวจการตั้งครรภ์ผู้สมัครหญิงได้ก็จริง
แต่ผู้สมัครหญิงก็มีสิทธิปฏิเสธไม่ให้ตรวจครรภ์ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้สมัครหญิงที่ปฏิเสธอาจจะไม่ได้ตั้งครรภ์ก็ได้แต่อาจจะรู้สึกไม่โอเคที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
และอาจจะปฏิเสธการทำงานซึ่งบริษัทก็จะพลาดโอกาสได้คนดีมีฝีมือมาทำงานด้วยเพราะนโยบายนี้
5.
มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ผมว่าสิ่งที่บริษัทควรทำเป็นอันดับแรกคือการให้ความรู้และทักษะในการสัมภาษณ์และรู้จักการสังเกตภาษากายของผู้สมัคร
เพื่อคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะตรงกับงานและปฏิเสธผู้สมัครที่คุณสมบัติไม่ผ่านไม่เหมาะกับตำแหน่งงาน
เพราะจะเห็นได้บ่อยเลยว่าบางบริษัทยังใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบจิตสัมผัส
(Unstructured
Interview) ไม่เคยสังเกตภาษากาย สีหน้า แววตา ภาษากาย ฯลฯ
ของผู้สมัครในระหว่างการสัมภาษณ์
ใช้คำถามแบบเปะปะไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยแม้แต่จะอ่านใบสมัคร (หรือ Resume ของผู้สมัคร) ก็ไม่เคย แล้วก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านใบสมัครในระหว่างการสัมภาษณ์
ฯลฯ
อันนี้ก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของปัญหาที่เล่ามาให้ฟังข้างต้นนี้ด้วยครับ
เมื่อไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุแต่กลับมาแก้กันตรงปลายเหตุและไปเหมารวมเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้พลอยโดนหางเลขแบบนี้
ในที่สุดจะกลับมากระทบภาพลักษณ์ชื่อเสียงของบริษัทในยุคที่กระแสโซเชียลเชี่ยวกรากแบบนี้หรือไม่
อันนี้ผู้บริหารต้องคิดให้ดี
หวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นอุทาหรณ์สำหรับบริษัทของท่านในเรื่องทำนองเดียวกันนี้ด้วยนะครับ