ท่านคิดว่าการที่มนุษย์มีเหตุผลในการตัดสินใจทำอะไรก็ตามไหมครับ ?
ถ้าท่านใดตอบว่า “ใช่”
ผมคงต้องถามย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าแน่ใจหรือครับ ?
ผมจะเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันและอยากให้ท่านคิดตามไปด้วยอย่างนี้ครับ
หลายท่านคงชอบช้อปปิ้งซื้อของออนไลน์โดยกด
CF CF
CF กันจนเพลินมือ
สังเกตไหมครับว่าเวลาที่เราซื้อของออนไลน์โดยตัดผ่านบัตรเครดิตแล้วเรา
CF (Confirm หรือย่อว่า CF) เพื่อยืนยันการซื้อสินค้าแต่ละตัว
เราจะรู้สึกว่าไม่ได้จ่ายเงินเยอะสักเท่าไหร่เพราะตัดบัตรเครดิตจึงไม่เห็นตัวเงินที่จ่ายออกไปเป็นรูปธรรม
บางทีที่เรากด CF ก็จะพบว่าสินค้าที่เราซื้อไม่ใช่สินค้าที่
“จำเป็น” ต้องใช้
แต่เป็นเพราะเรา
“อยาก” ซื้อ อยากกด CF
เพราะเขาลดราคาตั้ง 40%
แต่ถ้าเราไปเดินห้างแล้วต้องจ่ายเงินสดเพื่อซื้อของอย่างเดียวกันในวงเงินเท่ากัน
ผมว่าหลายคนจะซื้อน้อยลงเพราะเราจะรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าลดลงทุกครั้งที่เปิดกระเป๋าตังค์เพื่อจ่ายเงิน
นี่คือปัญหาเกี่ยวกับข้อจำกัดในการรับรู้ของคนที่ทำให้การใช้เหตุผลลดลงไปแบบไม่รู้ตัว
ถ้าใครมีสติเท่าทันข้อจำกัดในการรับรู้ของเรามากเท่าไหร่
ก็จะลดปัญหาการตัดสินใจที่ผิดพลาดแบบไม่มีเหตุผลลงได้มากขึ้นเท่านั้นแหละครับ
หรือ....
เคยเจอไหมครับที่คนบางคนซื้อรองเท้าแบบเดียวกัน
รุ่นเดียวกันแต่คนละสี เช่น ในคอลเลคชั่นนี้มี 4 สีคือ แดง เขียว ดำ
ฟ้า ก็จะซื้อมา 4 คู่ ทั้ง ๆ
ที่บางสีก็ไม่ได้ใส่เลยเพราะหาเสื้อผ้าเข้ากับสีของรองเท้าไม่ได้
พอเพื่อนมาเที่ยวบ้านแล้วถามว่าทำไมซื้อมาตั้ง
4 คู่ ทำไมถึงไม่ซื้อเฉพาะสีที่ใส่เป็นประจำสัก 2 คู่ล่ะ
จะได้เอาเงินไปซื้อรองเท้ายี่ห้ออื่นที่สวย ๆ แทน
คำตอบคือ
“ก็คอลเลคชั่นนี้มันมี 4
สี ฉันก็อยากจะซื้อให้ครบน่ะสิ”
อย่างงี้เรียกว่าเป็นการตัดสินใจแบบมีเหตุผลไหมครับ
?
ตรงนี้แหละครับบางคนอาจจะบอกว่า
“เหตุผลของเขา อาจไม่ใช่เหตุผลของเรา และ เหตุผลของเรา ก็อาจไม่ใช่เหตุผลของเขา”
ผมเชื่อว่าหลายท่านก็คงจะเจอว่าพอเราฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเราจะรู้สึก
“ยี้”
ในขณะที่เมื่อเราบอกเหตุผลของเราแล้ว
อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะรู้สึก “ยี้” ได้เช่นเดียวกัน
ตรงนี้ผมก็เลยนำมาสู่เรื่องของ
Cognitive
Dissonance เลยนะครับ
ปกติคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ ๆ
และคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันถูกอยู่แล้วมันมีเหตุผลอยู่แล้ว
ท่านว่าจริงไหมครับ ? เช่น....
ถ้าไปถามนาย A ว่าทำไมถึงไม่สวมหมวกนิรภัยเข้าพื้นที่ทั้ง
ๆ ที่มีกฎของบริษัทว่าพนักงานที่เข้าพื้นที่ทุกคนจะต้องใส่หมวกนิรภัย
นาย A ก็จะตอบว่า “ก็คนอื่นเขายังไม่เห็นใส่หมวกนิรภัยกันเลย”
หรือถ้าไปถามนส.B ว่าทำไมถึงไปจอดรถในที่ห้ามจอด
คำตอบก็คือ “ทีคนอื่นเขายังจอดกันได้เลย”
นี่คือตัวอย่างของการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบแถ
ๆ หรือ Cognitive
Dissonance ครับ
เพราะถ้าจะถามต่อไปว่า
“แล้วที่คนอื่นเขาทำน่ะมันผิดหรือเปล่า,
ถ้ารู้ว่าผิดแล้วทำไมต้องไปทำผิดให้เหมือนเขาด้วยล่ะ”
คนเหล่านี้ก็คงจะหาเหตุผลอื่นที่เข้าข้างตัวเองมาแถต่อไปเรื่อย ๆ แหละ จริงไหมครับ
เพราะการคิดหาเหตุผลเพื่อบอกตัวเองและบอกคนอื่นอย่างนี้จะทำให้คน
ๆ นั้นไม่เครียด ไม่ตำหนิตัวเองว่าตัวเองเป็นคนผิด จัดเป็นกลไกปกต้องตัวเองหรือ Defense Mechanism แบบหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของทุกคน
ถ้าความคิดแบบ Cognitive
Dissonance เป็นความคิดเพื่อปลอบใจตัวเองและไม่มีผลกระทบในด้านลบด้านร้ายต่อคนอื่นหรือต่อสังคมส่วนรวมก็ไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย
เช่น..
เมื่อเราถูกแฟนบอกเลิก
แล้วเราก็บอกตัวเองว่าโชคดีที่ถูกบอกเลิกตอนนี้
ดีกว่าแต่งงานอยู่กินกันไปมีลูกแล้วถูกบอกเลิก
ในอนาคตเราอาจจะมีบุพเพสันนิวาสได้เจอคนที่ดีที่เหมาะกับเรามากกว่าแฟนคนนี้
ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะทำให้เราหายเครียดและใช้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้ด้วยดี....ฯลฯ
ดีกว่าที่เราจะมาคิดตำหนิตัวเองว่าเราไม่ดีพอหรือไง
แฟนถึงได้มาขอเลิกถ้าคิดโกรธโทษตัวเองอย่างงี้มาก ๆ
เข้าก็มีหวังเครียดจนไปฆ่าตัวตายประชดความรักเหมือนที่เราได้อ่านข่าวหน้าหนึ่งกันอยู่บ่อย
ๆ แหง ๆ ผมถึงได้บอกว่าความคิดแบบ Cognitive Dissonance นี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างในด้านดีที่ช่วยลดความเครียดให้กับเรา
ถ้าไม่มีผลกระทบกับคนอื่นหรือสังคมในทางลบทางร้าย
แต่ความคิดแบบ Cognitive
Dissonance จะมีผลเลวร้ายมากถ้าคน ๆ
นั้นไปทำอะไรที่เลวร้ายต่อคนอื่นหรือต่อสังคม แล้วก็มาหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
เช่น....
คนที่ทุจริตคอรัปชั่นก็จะบอกกับตัวเองว่า
“นี่เรายังคิดเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าคนก่อนหน้าเราซะอีกนะ....”
โจรผู้ร้ายที่จะลักวิ่งชิงปล้นก็จะบอกว่า
“เพราะฉันต้องหาเงินเลี้ยงลูกฉันถึงต้องทำแบบนี้....”
คนที่ขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรแล้วไปชนรถที่วิ่งมาถูกเลน
ก็พูดว่า “คนอื่นเขาก็ทำอย่างงี้กันทั้งนั้นแหละจะให้อ้อมไปยูเทิร์นมันไกลไม่มีใครเขาทำกันหรอก
รถที่วิ่งมาก็ต้องรู้จักหลบให้ทางและมีน้ำใจกันบ้างสิ....”
ฯลฯ
ผมว่าถ้าใครมีความคิดแถ ๆ แบบนี้แถมขาด
“หิริ-โอตัปปะ”
หรือขาดความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปแล้วก็ความคิดแบบนี้เป็นอันตรายและมีผลกระทบออกไปรอบข้างมาก
ยิ่งถ้าใครมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ๆ
แล้วคิดแบบนี้ก็จะทำอะไรแบบหลงในอำนาจและเกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวมได้ง่าย
คำถามปิดท้ายเรื่องนี้คือ....
ตอนนี้สังคมในที่ทำงานและสังคมส่วนรวมของเรามีความคิดแบบ
Cognitive
Dissonance ในขั้นไหนกันแล้วครับ?
ความมี “สติ” และ “หิริ โอตัปปะ”
เท่านั้นที่จะหยุดความคิดแถ ๆ แบบนี้ลงได้
Cognitive Dissonance ความคิดของสมองที่ย้อนแย้งกัน
ท่านคงทราบอยู่แล้วว่าคนเรามักจะคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพราะคนทุกคนจะมีกลไกป้องกันตัวเองเพื่อลดความเครียดลง
เช่น
คนที่ไปลักวิ่งชิงปล้นบางคนก็จะบอกว่าที่ต้องทำอย่างงั้นเพราะต้องเอาเงินไปเลี้ยงดูลูกที่ยังเล็กให้ได้เรียนหนังสือ
เพราะถ้าคิดว่าตัวเองทำผิดนิสัยไม่ดีที่เป็นโจรก็จะทำให้เกิดความเครียดยิ่งถ้าใครคิดตำหนิตัวเองมาก
ๆ เข้าก็อาจจะถึงขั้นคิดสั้นขึ้นมาได้
ก็เลยต้องคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อลดความเครียดอย่างที่ผมยกตัวอย่างมาซึ่งก็จะทำให้คนรอบข้างที่ฟังเหตุผลแล้วก็คงจะส่ายหน้าเป็นพัดลมว่าคิดมาได้ยังไง
หรือเราท่านคงเคยได้ยินข้อแก้ตัวของคนที่ทำความผิดว่า
“รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จนกระทั่งมีคำพูดอำกันเล่น ๆ
ว่ารู้อะไรไม่สู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำนองนั้นแหละครับ
นี่คือความคิดของคนแบบ
Cognitive
Dissonance ในรูปแบบหนึ่ง
ยังมีเรื่องเล่าของความคิดย้อนแย้งในตัวเองแบบที่เรียกว่า
Cognitive
Dissonance ที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้อย่างนี้ครับ
ครั้งหนึ่งมีการทดลองโดยการแบ่งอาสาสมัครออกเป็น
3
กลุ่ม โดยทั้ง 3 กลุ่มจะให้ทำงานเหมือนกันคือการใช้เม้าส์ลากวงกลมที่อยู่ทางซ้ายมือของจอภาพไปใส่ไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ด้านขวาของจอภาพให้ได้มากที่สุดในเวลา
5 นาที
โดยมีการบอกกับทั้ง
3
กลุ่มคือ
กลุ่มที่ 1 จะได้รับค่าแรง
US$ 5 เป็นค่าตอบแทน กลุ่มที่ 2 จะได้รับค่าแรง 50 Cent เป็นค่าตอบแทน
และกลุ่มที่ 3 ไม่ได้รับค่าแรงโดยบอกว่าการทดลองครั้งนี้จะเป็นสาธารณประโยชน์ต่อส่วนรวมด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นโดยไม่หวังผลกำไร
ผลปรากฎว่ากายใน
5
นาที
กลุ่มที่ 1 สามารถลากวงกลมไปใส่กล่องสี่เหลี่ยมได้เฉลี่ย 159 วง
กลุ่มที่ 2 สามารถลากวงกลมไปใส่กล่องสี่เหลี่ยมได้เฉลี่ย 101 วง และ
กลุ่มที่ 3 สามารถลากวงกลมไปใส่กล่องสี่เหลี่ยมได้เฉลี่ย 168
วง ซึ่งมากกว่ากลุ่มที่ 1 และ 2 เสียอีก
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
แน่นอนครับว่ากลุ่มที่
2
จะมีผลงานที่ต่ำกว่ากลุ่มแรกเพราะความรู้สึกที่ว่าตัวเองได้รับค่าแรงที่น้อยกว่า
แต่ที่น่าสนใจคือผลงานของกลุ่มที่ 3 ที่สูงที่สุดทั้ง ๆ
ที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ
ตรงนี้นักจิตวิทยาอธิบายเรื่องนี้ว่าเวลาที่คนเราจะทำอะไรให้กับคนอื่นก็มักจะตัดสินใจเอาไว้ก่อนแล้วว่าตัวเองคาดหวังผลตอบแทนแบบไหนระหว่างผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน
หรือผลตอบแทนเชิงสังคม
ถ้าคนคิดว่าตัวเองคาดหวังผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินหรือเป็นเชิงพาณิชย์
ก็จะคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับค่าตอบแทนเป็นพิเศษ
แต่ถ้าคนคิดว่าตัวเองทำสิ่งนั้นเพราะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม
ก็จะทำอย่างเต็มใจโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นตัวเงิน หรือมามัวคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องค่าตอบแทนเลย
การทดลองข้างต้นจะเห็นได้ว่าคนใน
2
กลุ่มแรกคาดหวังค่าตอบแทนเป็นหลัก กลุ่มที่ 1 จึงทำงานตามค่าตอบแทนที่คาดหวัง
ส่วนกลุ่มที่ 2 คิดเล็กคิดน้อยว่าค่าตอบแทนของตัวเองต่ำกว่ากลุ่มที่
1 ก็รู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบจึงทำงานไปตามค่าแรงที่ได้น้อยกว่า
ส่วนกลุ่มที่
3
แม้ไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่เกิดความรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองมีส่วนร่วมสำคัญที่จะทำการทดลองให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ
เป็นการได้รับค่าตอบแทนทางใจ (เกิดความภาคภูมิใจ)
จึงสรุปได้ว่าเมื่อไหร่ที่คนเราคิดว่าเขาทำงานใด
ๆ เพื่อผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินก็จะทำงานไปในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก
และจะคิดเล็กคิดน้อยเมื่อไม่ได้รับค่าตอบแทนอย่างที่คาดหวังเอาไว้
แต่ถ้าเมื่อไหร่คนเราคิดว่าเขาทำงานใด
ๆ เพื่อประโยชน์ของสังคม ก็จะยินดีทำงานนั้น ๆ
อย่างเต็มที่โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเป็นตัวเงิน
และจะมีความสุขใจภาคภูมิใจในงานที่ตัวเองทำอีกด้วยแม้ไม่ได้รับค่าตอบแทน
อีกตัวอย่างหนึ่งเพื่อยืนยันเรื่องนี้คือ
สมมุติว่าท่านกำลังเดินข้ามถนน
ทันใดนั้นมีรถยนต์พุ่งเข้ามาหาท่านอย่างรวดเร็วแล้วก็มีใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามารวบตัวท่านให้พ้นจากการถูกรถชนได้อย่างหวุดหวิด
ลองคิดดูสิครับว่าถ้าท่านบอกกับพลเมืองดีคนนั้นว่า
“ที่คุณช่วยผมไว้เมื่อตะกี๊นี้ คุณต้องการเงินเท่าไหร่ ?”
ท่านคิดว่าพลเมืองดีคนนั้นเขาจะมองจะคิดยังไง
หรือจะพูดอะไรกับท่าน?
จะเห็นได้ว่าพลเมืองดีคนนั้นทำไปด้วยจิตสำนึกเชิงสังคมที่ต้องการช่วยชีวิตคน
ๆ หนึ่งเอาไว้โดยไม่ได้หวังค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน
ถ้าขืนไปรับเงินค่าช่วยชีวิตเอาไว้เขาก็จะเกิดความขัดแย้งในความคิดตัวเองขึ้นมาทันทีแบบที่เรียกว่า
Cognitive
Dissonance นั่นเอง
ในขณะที่พลเมืองดีที่สละชีวิตมาช่วยเราคนนี้อาจจะเพิ่งหงุดหงิดกับหัวหน้าที่ขึ้นเงินเดือนให้เขาน้อยกว่าเพื่อนร่วมงาน
200 บาทก็เป็นได้
จากที่ผมเล่าให้ฟังมานี้เราสามารถได้ประโยชน์จากการคิดที่ย้อนแย้งของคนข้างต้น
เช่น
หัวหน้าที่สามารถจูงใจให้ลูกน้องเกิดความคิดว่างานที่เขารับผิดชอบอยู่มีความสำคัญ
เป็นงานที่ท้าทายความสามารถ และเมื่องานนี้เสร็จจะเป็นผลงานที่เป็นเครดิตและจะสร้างความภาคภูมิใจอย่างมากสำหรับตัวของลูกน้องเองที่ไม่สามารถตีค่าเป็นตัวเงินได้
ลูกน้องก็จะมุ่งไปสู่ผลสำเร็จของงานมากกว่าการมองแค่ตัวเงิน
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมเชื่อว่าท่านจะเข้าใจความคิดแบบแถ
ๆ ของคนประเภท Cognitive Dissonance กันบ้างแล้วนะครับ