คำว่า “Blind Spot” หมายถึงจุดบอดที่ทุกคนคงรู้จักคำนี้ดี ดังนั้นจึงแปลอคติตัวนี้แบบตรงตัวว่าเป็นอคติที่มองไม่เห็นจุดบอดหรือจุดบกพร่องของตัวเราเอง
แถมยังไปคิดว่าเราไม่ได้มีจุดบอดหรือมีข้อบกพร่องอะไร
คนอื่นต่างหากที่บกพร่อง !
อคติตัวนี้จึงถือว่าเป็นอคติในการหลอกตัวเอง
(Self-Deception) อย่างหนึ่ง
แล้วยกตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่น
ถ้าเกิดการยอมรับว่าสิ่งที่รับรู้ทั้งหลายนั้นอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้
(Perception
is no reality) ก็จะลด Blind Spot Bias ตัวนี้ลงและทำให้เกิดการเปิดใจยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้น
บางครั้งอคติประเภทนี้จะทำให้เรามองเห็นความบกพร่องผิดพลาดหรือเห็นจุดบอดของคนอื่นได้อย่างถูกต้อง
ชัดเจน แต่กลับกันเราจะไม่เห็นจุดบอดของเราซะงั้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราอาจจะเห็นว่าเพื่อนเรามีกลิ่นตัวแรงที่เป็นจุดบอดของเพื่อน
แต่เรากลับไม่เห็นจุดบอดในตัวเราว่าเราก็มีกลิ่นตัวแรงเช่นเดียวกับเพื่อน
แม้มีเพื่อนมาบอกบางคนก็ยังไม่ยอมรับเพราะคุ้นชินกลิ่นตัวของตัวเอง
ผมมีข้อคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอคติตัวนี้คืออคติตัวนี้จะมีลักษณะคล้าย ๆ กับอคติอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “Dunning & Kruger Effect” ซึ่งผมเคยเขียนบทความนี้ไว้ในหนังสือ
“สนุกไปกับพฤติกรรมคนด้วยจิตวิทยาและเทวดากรีก”
ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีในบล็อกของผม
ก็เลยขอนำกลับมาอธิบายกันอีกครั้งดังนี้ครับ
สมัยผมยังเด็ก ๆ
เคยเรียน “โคลงโลกนิติ” (คำ ๆ นี้อ่านออกเสียงว่า “โคลง-โลก-กะ-นิด นะครับไม่ใช่ “โคลง-โลก-กะ-นิ-ติ”)
บทหนึ่งบอกไว้ว่า....
“รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย
ไป่เคยเห็น ชเลไกล กลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อย มากล้ำ ลึกเหลือ”
ผมว่าโคลงโลกนิติข้างต้นนี่แหละอธิบายเรื่องของ
Dunning-Kruger
Effect ของฝรั่งข้างต้นได้อย่างชัดเจน
แล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าข่าย
Dunning-Kruger Effect นี้คือ “หลง”
เชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูงคิดว่าตัวเองมีความสามารถมีความเก่งไปหมดทุกเรื่อง
และใครก็ตามที่คิดไม่เหมือนตัวเองคือคนที่ผิดไปหมด
จะว่าไปก็คล้าย
ๆ กับคนหลงตัวเองในบุคลิกภาพแบบ Narcissism ที่ผมเคยเขียนไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นแหละครับ
เพียงแต่นี่เป็นการหลงในความรู้ความสามารถที่ตัวเอง(คิดว่า)มีเยอะ
แต่ที่จริงแล้วกลับไม่มีจริง !
เรามาดูที่มาของเรื่องนี้กันดีกว่านะครับว่าคำ
ๆ นี้มีที่มายังไง....
เมื่อปี 1999 (พศ.2542) มีนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Cornell 2 คนคือ ดร.เดวิด ดันนิ่ง (David Dunning) และ ดร.จัสติน ครูเกอร์ (Justin Kruger) เกิดมีข้อสงสัยแปลก
ๆ ขึ้นมาว่า....
“คนที่ไม่มีความสามารถจะไม่มีวันรู้หรอกว่าตัวเองไม่มีความสามารถนั้นอยู่จริง
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความสามารถที่เขาจะต้องใช้เพื่อเรียนรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถนั้นมันไม่มี”
เป็นไงครับ ตรรกะนี้ถ้าอ่านผ่าน ๆ
เร็ว ๆ แล้วคิดตามไม่ทันก็จะงง ๆ ใช่ไหมครับ ?
ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ
ให้เข้าใจอย่างนี้ดีกว่า เช่น..
ชวนพิศชอบร้องเพลงมาก
ทุกครั้งที่ไปคาราโอเกะเธอก็จะต้องยึดไมค์ไว้แล้วร้องเพลงโปรดด้วยความมั่นใจในพลังเสียงที่เธอคิด(เอาเอง)ว่าเธอร้องเพลงเพราะขนาดถ้าไปประกวด
The Voice เธอต้องชนะเลิศแน่นอน
แต่เพื่อน ๆ ล่ะ..พอฟังชวนพิศร้องเพลงแล้วก็ล้วนแต่ส่ายหน้าเป็นพัดลมกันเป็นแถว
เพราะทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าชวนพิศร้องเพี้ยนแถมคล่อมจังหวะบ่อยอีกต่างหาก
ถ้าสมศรีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มจะใจกล้าพอที่จะไปบอกชวนพิศว่าเธอร้องเพี้ยน
ชวนพิศก็จะโกรธและหาว่าสมศรีหูไม่ถึงขนาดแก้มเดอะสตาร์ก็ยังร้องสู้เธอไม่ได้เลยนะเนี่ยะ
สงสัยสมศรีคงอยากจะแย่งเธอร้องล่ะสิถึงได้มาหาเรื่องว่าเธอร้องเพี้ยน
อนิจจา..ชวนพิศเองก็ไม่มีความสามารถที่จะรับรู้ความจริงได้เลยว่าเธอร้องเพลงไม่ได้เรื่องจริง
ๆ
เพราะว่าเธอขาดความทักษะและสามารถด้านการร้องเพลงมากพอที่จะรู้ว่าเธอไม่มีความสามารถด้านการร้องเพลงอยู่จริง
เพราะเธอไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะได้ออกระหว่างคนที่ร้องเพี้ยนคีย์กับคนที่ร้องถูกต้องเป็นยังไงเนื่องจากเธอขาดความสามารถด้านการร้องเพลงนั่นเองครับ
ตัวอย่างของชวนพิศข้างต้นนี่แหละคือคำอธิบายของ
Dunning-Kruger
Effect
โดยในการวิจัยทดสอบครั้งนี้ Dunning และ Kruger ได้มีการทดลองให้คนที่เข้าร่วมโครงการซึ่งเป็นนักศึกษาของ
Cornell ได้ประเมินความสามารถของตัวเองในด้านต่าง ๆ เช่น
ด้านที่คิดว่าตัวเองมีอารมณ์ขัน, ความสามารถด้านตรรกะ,
ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษก่อนที่จะให้นักศึกษาเหล่านี้ทำแบบทดสอบจริง
ผลการทดลองออกมาปรากฎว่าผู้เข้าร่วมการทดลองที่มีความสามารถต่ำที่สุด
25
เปอร์เซ็นต์จะประเมินความสามารถของตัวเองเอาไว้ว่าเก่งกว่าความเป็นจริงถึง
50 เปอร์เซ็นต์
(คือประเมินว่าตัวเองเก่งมากกว่าความเป็นจริงถึงเท่าตัวครับ)
ในขณะที่คนที่มีความสามารถสูงที่สุด
25 เปอร์เซ็นต์กลับประเมินความสามารถของตัวเองต่ำกว่าที่ตัวเองมีถึง
15 เปอร์เซ็นต์ !!
สรุปก็คือคนที่ไม่มีความสามารถมักจะคิดว่าตัวเองเก่ง
ตัวเองดี ตัวเองมีความสามารถมากกว่าความสามารถจริงที่ตัวเองมีอยู่
หรือจะเรียกง่าย ๆ
ว่าคนที่เป็น Dunning-Kruger Effect คือคนที่โง่แล้วอวดฉลาด
(โดยไม่รู้ว่าตัวเองโง่) ก็คงไม่ผิดก็คงจะได้แหละครับ
แต่..คนที่เก่งจริงมีความสามารถจริงกลับประเมินความสามารถของตัวเองต่ำจนเกินไป
เพราะคิดว่าในเมื่อตัวเองทำได้ก็น่าจะมีคนที่เก่งกว่าตัวเองทำได้เช่นเดียวกัน
เลยมีคำพูดหนึ่งว่า “Little knowledge
can be dangerous” หรือการรู้อะไรแล้วไม่รู้จริงนี่เป็นสิ่งอันตราย
ผมเคยเห็นคนที่เป็นที่ปรึกษาด้านควบคุมคุณภาพไปให้คำแนะนำเรื่องของกฎหมายแรงงานที่ไม่ถูกต้องกับผู้บริหารของบริษัทมาแล้ว
(ผมเคยเขียนเรื่องจรรยาบรรณของการเป็นที่ปรึกษาไปแล้วก่อนหน้านี้)
ซึ่งกรณีนี้ผมก็ว่าที่ปรึกษาคนนี้อาจจะคิดว่าตัวเองมีความรู้เรื่องระบบคุณภาพเป็นอย่างดีก็เลยคิด(เข้าข้างตัวเอง)
ว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถด้านกฎหมายแรงงานที่ดีตามไปด้วย (มั๊ง)
โดยที่ตัวของแกเองก็ไม่รู้หรอกว่ากฎหมายแรงงานที่แกคิดว่ารู้ดีและให้คำแนะนำกับลูกค้าไปน่ะคือสิ่งที่ไม่แกไม่รู้จริงและไม่ถูกต้อง
แถมตัวแกเองก็ยังมั่นใจด้วยว่าคำแนะนำของแกถูกอีกต่างหาก
!
จึงอธิบายตามทฤษฎีนี้ได้ว่าที่ปรึกษาคนนี้ขาดความสามารถในการรับรู้ว่าตัวเองไม่มีความรู้กฎหมายแรงงานและก็ยังเชื่อ
(แบบเข้าข้างตัวเอง) ว่าตัวเองมีความรู้กฎหมายแรงงานเป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานหรือเคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน
สาเหตุที่แกขาดความสามารถที่จะรับรู้ว่าตัวเองไม่มีความรู้กฎหมายแรงงาน
ก็เพราะตัวเองไม่มีความรู้ด้านกฎหมายแรงงานจริง ๆ อยู่ในตัวน่ะสิครับ
เมื่อไม่มีภูมิรู้เรื่องกฎหมายแรงงานในตัวก็เลยไม่รู้ว่าอะไรคือถูกอะไรคือผิดกฎหมายแรงงาน
แถมคิดเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งที่แนะนำลูกค้าไปน่ะมันถูกแล้ว
ทั้ง ๆ ที่เป็นคำแนะนำที่ผิด!!
ผมจึงมาถึงบทสรุปในเรื่องของ Dunning-Kruger
Effect ก็คือเราคงเคยเห็นคนที่หลงคิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่องและ Ego
จัด Self จัด ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ขืนมาวิจารณ์ก็จะหัวร้อนสวนกลับ
หรือยิ่งถ้าคนประเภทนี้มี FC แฟนคลับเยอะ
ๆ ที่เป็นสาวกแบบงมงายใครมาแตะต้องมีหวังสวนกลับกันมาบ้างแล้ว
ถ้าคนเหล่านี้ยังดันทุรังไม่ปรับปรุงตัวเอง และคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลดาวทุกดวงต้องมาโคจรรอบ
ๆ ฉันก็ปล่อยเขาไปเถอะครับวันหนึ่งเขาก็จะเจอกับสัจธรรมของเขาเองแหละ
ต่อไปเวลาเราจะพูดถึงคนพวกนี้ก็ให้พูดโค้ดลับว่าพวกนี้เป็นพวก
“DKE”
ดีไหมครับ
แต่ก็ให้ระวังตัวเราเองอย่าตกเป็นเหยื่อของ
DKE ด้วยล่ะครับ
พอพูดถึงเรื่องของคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง
แต่ที่แท้ก็ไม่เก่งจริงแบบ Dunning & Kruger Effect ไปแล้ว
ผมก็อดคิดถึงอคติที่ทำให้เกิดพฤติกรรมตรงกันข้ามกับ DKE ไม่ได้
ก็เลยขอนำเอาอคติอีกตัวหนึ่งที่ตรงกันข้ามมาเล่าต่อไปเลยนะครับ
ความคิดที่ตรงกันข้ามกับ
DKE คือ “Imposter Syndrome” หรือที่ผมแปลเป็นไทยว่า
“รู้สึกด้อยค่า..ในสายตาตัวเอง” ครับ
เรื่องของ Imposter Syndrome นี้ผมก็เขียนเอาไว้ในหนังสือ “สนุกไปกับพฤติกรรมคนด้วยจิตวิทยาและเทวดากรีก”
ด้วยเหมือนกัน
ขอนำมาเล่าสู่กันฟังตามนี้ครับ
เราได้เรียนรู้เรื่องของคนโง่แต่คิดว่าตัวเองฉลาดหรือ
Dunning-Kruger
Effect หรือ DKEกันไปแล้ว
มาตอนนี้เราจะมาพูดถึงคนอีกพวกหนึ่งที่มีพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับพวก
DKE คือพวกที่เราเรียกว่ารู้สึกด้อยค่าในสายตาตัวเอง หรือ “Impostor
Syndrome” ครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี
1978 (พศ.2521) มีนักจิตวิทยาจาก Georgia State University คือ
Pauline Rose และ Suzanne Imes ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้บริหารสตรีที่ก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จได้เพราะอะไร
คำตอบของผู้บริหารหญิงเหล่านั้นคือเธอไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะความสามารถของเธอที่ทำให้มาประสบความสำเร็จได้ในวันนี้
แต่เป็นเพราะกระบวนการสรรหาคัดเลือกที่ดีหรือเป็นเพราะโอกาสหรือจังหวะหรือเป็นเพราะโชคต่างหากที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จ
!
คือพูดง่าย ๆ ว่าคนเก่งกลับไม่ยอมรับว่าตัวเองเก่งจริง มีความสามารถจริงแต่กลับไปให้เครดิตกับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ความสามารถของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่เป็นความสามารถของตัวเองโดยแท้
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับความรู้สึกของเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นนะครับ
ผู้ชายหลายคนก็เป็นแบบนี้ !
จะบอกว่าคนเหล่านี้ถ่อมตัวก็ไม่ใช่นะครับ
ถ้ามีอาการแบบนี้น้อย ๆ ก็อาจจะดูว่าคน ๆ นั้นถ่อมตัว
แต่คนที่อยู่ในอาการ
Impostor
Syndrome จะไม่ได้คิดแบบคนถ่อมตัวน่ะสิครับ
คราวนี้ถ้าใครมีอาการแบบนี้มาก ๆ
ก็จะทำให้เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง จะมองตัวเองในแง่ลบ
มองว่าตัวเองด้อยค่าในสังคม
เรามันไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรเลย
มองตัวเองว่าไม่มีความสามารถอะไรเลย เราไม่ยังไม่เก่งจริงสักอย่าง (ทั้ง ๆ
ที่เก่งและมีความสามารถอยู่จริง ๆ) แถมถ้าเป็นคนเครียดมาก ๆ
เพื่อนน้อยไม่มีทางระบายความรู้สึกให้ใครได้ฟังก็อาจเป็นโรคซึมเศร้าและคิดสั้นเอาง่าย
ๆ นะครับ
จะเห็นว่าพฤติกรรมแบบ
Impostor
Syndrome กลับทางกับ DKE เลยก็ว่าได้
ถ้าจะถามว่าแล้วจะแก้อาการแบบนี้ได้ยังไง
?
ในความเห็นของผมคงเสนอแนะอย่างนี้ครับ
1.
ไม่ควรเก็บตัวอยู่แต่ในที่ทำงานหรือที่บ้าน ควรจะหาโอกาสเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงบ้างมีการสังสรรค์เฮฮากันบ้างตามโอกาสที่เหมาะสม
หรือไปออกกำลังกายตามที่ตัวเองชอบก็ได้
2.
ในระหว่างการสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ก็ซักถามสารทุกข์สุกดิบดู
แล้วจะพบว่าคนที่ดีกว่าเราก็มี
เพื่อนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างเราก็มี
อย่างน้อยก็จะทำให้เราเห็นว่าเราไม่ได้เป็นคนที่แย่ที่สุด เรายังมีอะไรดี ๆ
ที่จะอวดให้เพื่อนรู้สึกทึ่งในตัวเราได้อีกตั้งหลายอย่าง
จะได้ลดการดูถูกตัวเราเองลงไป
3.
หาเวลาท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว คนรัก หรือเพื่อนฝูงบ้างตามโอกาสที่เหมาะสม
เรื่องนี้ก็จะมีผลคล้าย ๆ กับข้อ 2 คือจะทำให้เราได้สติได้คิดอะไรดี ๆ
ขึ้นมาได้อีกตั้งหลายอย่างระหว่างการท่องเที่ยวพักผ่อน
4.
ไปปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติศาสนกิจในศาสนาที่ตัวเองเคารพนับถือ
เพื่อรับฟังคำสอนที่ดี
ๆ จากครูบาอาจารย์ทำให้เกิดสติได้ข้อคิดอย่างถูกต้องตามหลักศาสนานั้น ๆ
จะทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองเพิ่มมากขึ้น
5.
ไปช่วยเหลือสังคมเช่นไปทำบุญกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า, สถานเลี้ยงเด็กพิการซ้ำซ้อน
แล้วเราจะเห็นว่าคนที่ลำบากกว่าเราก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
เรายังมีโอกาสที่ดีกว่าคนอีกหลาย ๆ คน
ยังมีความสามารถมีคุณค่าในตัวเองมากพอที่จะมาช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ให้เขามีความสุขขึ้นมาบ้าง
ซึ่งก็จะทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้นได้
6.
เขียนบันทึกผลงานหรือสิ่งที่เราทำสำเร็จและเกิดความภาคภูมิใจเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ เข้าเราจะพบว่าเราก็มีความสามารถสร้างผลงานหรือสิ่งดี ๆ
มาไม่น้อยเหมือนกันแถมยังเก็บไว้เป็น Portfolio ของตัวเราเอง
เท่าที่ผมคิดได้เร็ว ๆ ในตอนนี้ก็คงมีเท่านี้สำหรับวิธีแก้อาการแบบนี้ถ้าใครมีวิธีอะไรที่ดี
ๆ ก็แชร์มาได้นะครับ
แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่เก็บตัวหมกมุ่นอยู่กับความคิดว่าเราด้อยค่าด้อยความสามารถและจะต้องเปิดตัวออกไปสู่สังคมให้มากขึ้นครับ