จากอดีตจนถึงปัจจุบันจะพบว่าหลายบริษัทจะมีนโยบายในการแจกยูนิฟอร์มหรือเครื่องแบบพนักงานโดยกำหนดไว้เป็นระเบียบเอาไว้เลยว่าพนักงานจะต้องใส่เครื่องแบบตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในบริเวณบริษัท
หลักคิดในการให้พนักงานใส่เครื่องแบบก็คงต้องการให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย
สามารถแยกได้ชัดเจนว่าใครเป็นพนักงานใครเป็นบุคคลภายนอกที่เข้ามาในบริษัท
เครื่องแบบพนักงานก็ต้องมีโลโก้หรือสัญลักษณ์ของบริษัทติดเอาไว้ชัดเจน
ซึ่งในปัจจุบันหลายบริษัทที่มีนโยบายผ่อนคลายจากเดิมที่กำหนดให้พนักงานต้องใส่เสื้อเชิ๊ตผูกเน็คไท
มาเป็นให้พนักงานใส่เสื้อยืดหรือเสื้อแจ็คเก็ตที่มีโลโก้ของบริษัท ผมก็ยังจัดให้ลักษณะแบบนี้เป็นการกำหนดให้พนักงานใส่เครื่องแบบเหมือนกันครับ
ตอนผมจบมาใหม่
ๆ
ได้เข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งเมื่อหลายสิบปีที่แล้วก็จะกำหนดให้พนักงานชายจะต้องใส่เสื้อเชิ๊ตกางเกงขายาวสีเข้มรองเท้าหนังและต้องผูกเน็คไทที่มีโลโก้ของธนาคารที่แจกให้ปีละ
2 เส้น ส่วนพนักงานหญิงจะได้รับผ้าจากธนาคารซึ่งผ้านี้จะเป็นสีที่ธนาคารกำหนดไปตัดเอาเอง
(ผ้าที่ธนาคารแจกจะตัดยูนิฟอร์มได้ 2 ชุดถ้าพนักงานต้องการมากกว่านี้ต้องซื้อผ้าเพิ่มเอง)
ระเบียบของธนาคารจะกำหนดให้มียูนิฟอร์มสำหรับพนักงานที่ตำแหน่งต่ำกว่าหัวหน้าส่วน
(เทียบเท่าผู้จัดการสาขา) เท่านั้น ดังนั้นคนที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วน (ในสำนักงานใหญ่)
และผู้จัดการสาขาขึ้นไปถึงจะไม่ต้องใส่ยูนิฟอร์มเพราะถือว่าเป็นผู้บริหารระดับกลาง
(ในสมัยนั้น) ขึ้นไป
ผมเชื่อว่าในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลมากเหมือนในปัจจุบัน
การใส่เครื่องแบบของบริษัทไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดที่ผมบอกมาข้างต้น
ก็อาจทำให้ผู้สวมใส่เกิดความภูมิใจที่เป็นพนักงานขององค์กรนั้น ๆ
และในมุมของฝ่ายบริหารก็เกิดความรู้สึกเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป
โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อทุกคน !
เราจะเห็นหลาย
ๆ กรณีมาแล้วครับว่าพนักงานบริษัทใส่ยูนิฟอร์มที่มีโลโก้ของบริษัท
(ไม่ว่าจะเป็นยูนิฟอร์มเต็มรูปแบบ หรือเป็นเสื้อยืดหรือเสื้อแจ๊กเก็ตที่มีตราโลโก้ของบริษัทก็ตาม)
เข้าไปในที่ชุมนุมทางการเมือง (ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมฝ่ายไหนก็ตาม)
หรือใส่ยูนิฟอร์มของบริษัทแล้วไปเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับคู่กรณีบนถนน
หรือพนักงานไปทำสิ่งไม่ดีไม่งามในที่สาธารณะ ฯลฯ
แล้วมีคนถ่ายคลิปเอาไว้และนำไปลงสื่อโซเชียล
ก็จะเกิดการส่งต่อคลิปและวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลจนหลายกรณีทำให้บริษัทโดนด่าโดนโจมตี
บางครั้งโดนกระแสแบนหรือบอยคอต (Boycott-การคว่ำบาตร) ไม่ให้ซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัทนั้น ๆ ทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย
จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่ายูนิฟอร์มขององค์กรที่เคยถูกนำมาใช้เพื่อความภาคภูมิใจและสร้างชื่อเสียงให้องค์กรในอดีตจะกลายเป็นดาบสองคมในยุคปัจจุบันและอนาคตหรือไม่
?
ตรงนี้แหละครับผมก็เลยอยากจะฝากเรื่องนี้เป็นข้อคิดสำหรับผู้บริหารในองค์กรต่าง
ๆ ว่า
1.
ยูนิฟอร์มที่มีโลโก้มีตรา (Brand) ของบริษัทยังเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่
2.
ถ้ายังตอบว่าจำเป็น เช่น
พนักงานในโรงงานจำเป็นต้องใส่ยูนิฟอร์มจะได้แยกแยะได้ว่าเป็นพนักงานหรือเป็นบุคคลภายนอก
ก็ควรจะกำหนดให้พนักงานใส่ยูนิฟอร์มเฉพาะในโรงงานเท่านั้นไม่ให้ใส่ยูนิฟอร์มกลับบ้าน
ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายบริษัทที่ปฏิบัติเช่นนี้อยู่
3.
บริษัทที่แจกเสื้อยืดหรือเสื้อแจ๊คเก็ตให้พนักงานใส่
ยังจำเป็นต้องให้เสื้อยืดนั้นมีโลโก้ของบริษัทอีกต่อไปหรือไม่
ถ้าเปลี่ยนเป็นให้พนักงานใส่เสื้อยืดหรือเสื้อแจ๊คเก็ตของตัวเองบริษัทก็ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำเสื้อยืดแจกให้กับพนักงานทุกปี
(หรือบางแห่ง 2
ปีครั้ง) ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ไม่น้อยจะดีกว่าไหม
4.
โลโก้หรือ Brand ของบริษัทมีมูลค่าและมูลค่านี้ต้องใช้เวลาสร้าง
กว่าจะได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าและสังคมก็ไม่น้อย ถ้าต้องมาเสียไปเพราะพนักงานที่นำโลโก้นี้ติดตัวไปในที่สาธารณะซึ่งปัจจุบันก็มีกล้องจับอยู่แทบทุกที่
จะเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามมาในภายหลังหรือไม่
5.
บางคนอาจเห็นแย้งว่า
ผมมองอะไรในแง่ลบเกินไปหรือเปล่าเพราะในทางกลับกัน
ถ้าพนักงานของบริษัทใส่เสื้อที่มีโลโก้ของบริษัทไปทำความดีล่ะ
บริษัทก็ได้ชื่อเสียงไปด้วยไม่ใช่หรือ ก็ตอบได้ว่าระหว่างเรื่องร้าย ๆ กับเรื่องดี
ๆ ทุกวันนี้สื่อ (ไม่ว่าจะสื่อหลักหรือสื่อโซเชียลก็ตาม) ในบ้านเราชอบเสนอเรื่องร้ายหรือดีมากกว่ากันล่ะครับ
ท่านคงคิดต่อได้นะครับว่าบริษัทจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน
ท่านที่อ่านมาทั้งหมดนี้อาจจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่เห็นด้วยก็คงเป็นสิทธิของท่านแหละครับ
ไม่จำเป็นต้องเชื่อผมทั้งหมด แต่ควรใช้หลักกาลามสูตรคิดวิเคราะห์ผลดีผลเสียให้รอบด้าน
ผมแค่เป็นคนนำเสนอไอเดียในมุมหนึ่งเท่านั้นเองครับ
...........................