วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

เครื่องแบบพนักงานยังจำเป็นอยู่ไหม ?

           จากอดีตจนถึงปัจจุบันจะพบว่าหลายบริษัทจะมีนโยบายในการแจกยูนิฟอร์มหรือเครื่องแบบพนักงานโดยกำหนดไว้เป็นระเบียบเอาไว้เลยว่าพนักงานจะต้องใส่เครื่องแบบตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในบริเวณบริษัท

            หลักคิดในการให้พนักงานใส่เครื่องแบบก็คงต้องการให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย สามารถแยกได้ชัดเจนว่าใครเป็นพนักงานใครเป็นบุคคลภายนอกที่เข้ามาในบริษัท

            เครื่องแบบพนักงานก็ต้องมีโลโก้หรือสัญลักษณ์ของบริษัทติดเอาไว้ชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันหลายบริษัทที่มีนโยบายผ่อนคลายจากเดิมที่กำหนดให้พนักงานต้องใส่เสื้อเชิ๊ตผูกเน็คไท มาเป็นให้พนักงานใส่เสื้อยืดหรือเสื้อแจ็คเก็ตที่มีโลโก้ของบริษัท ผมก็ยังจัดให้ลักษณะแบบนี้เป็นการกำหนดให้พนักงานใส่เครื่องแบบเหมือนกันครับ

            ตอนผมจบมาใหม่ ๆ ได้เข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งเมื่อหลายสิบปีที่แล้วก็จะกำหนดให้พนักงานชายจะต้องใส่เสื้อเชิ๊ตกางเกงขายาวสีเข้มรองเท้าหนังและต้องผูกเน็คไทที่มีโลโก้ของธนาคารที่แจกให้ปีละ 2 เส้น ส่วนพนักงานหญิงจะได้รับผ้าจากธนาคารซึ่งผ้านี้จะเป็นสีที่ธนาคารกำหนดไปตัดเอาเอง (ผ้าที่ธนาคารแจกจะตัดยูนิฟอร์มได้ 2 ชุดถ้าพนักงานต้องการมากกว่านี้ต้องซื้อผ้าเพิ่มเอง)

            ระเบียบของธนาคารจะกำหนดให้มียูนิฟอร์มสำหรับพนักงานที่ตำแหน่งต่ำกว่าหัวหน้าส่วน (เทียบเท่าผู้จัดการสาขา) เท่านั้น ดังนั้นคนที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วน (ในสำนักงานใหญ่) และผู้จัดการสาขาขึ้นไปถึงจะไม่ต้องใส่ยูนิฟอร์มเพราะถือว่าเป็นผู้บริหารระดับกลาง (ในสมัยนั้น) ขึ้นไป

            ผมเชื่อว่าในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลมากเหมือนในปัจจุบัน การใส่เครื่องแบบของบริษัทไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดที่ผมบอกมาข้างต้น ก็อาจทำให้ผู้สวมใส่เกิดความภูมิใจที่เป็นพนักงานขององค์กรนั้น ๆ และในมุมของฝ่ายบริหารก็เกิดความรู้สึกเป็นระเบียบเรียบร้อย

          แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อทุกคน !

            เราจะเห็นหลาย ๆ กรณีมาแล้วครับว่าพนักงานบริษัทใส่ยูนิฟอร์มที่มีโลโก้ของบริษัท (ไม่ว่าจะเป็นยูนิฟอร์มเต็มรูปแบบ หรือเป็นเสื้อยืดหรือเสื้อแจ๊กเก็ตที่มีตราโลโก้ของบริษัทก็ตาม) เข้าไปในที่ชุมนุมทางการเมือง (ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมฝ่ายไหนก็ตาม) หรือใส่ยูนิฟอร์มของบริษัทแล้วไปเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับคู่กรณีบนถนน หรือพนักงานไปทำสิ่งไม่ดีไม่งามในที่สาธารณะ ฯลฯ

            แล้วมีคนถ่ายคลิปเอาไว้และนำไปลงสื่อโซเชียล ก็จะเกิดการส่งต่อคลิปและวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลจนหลายกรณีทำให้บริษัทโดนด่าโดนโจมตี บางครั้งโดนกระแสแบนหรือบอยคอต (Boycott-การคว่ำบาตร) ไม่ให้ซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัทนั้น ๆ ทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย

          จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่ายูนิฟอร์มขององค์กรที่เคยถูกนำมาใช้เพื่อความภาคภูมิใจและสร้างชื่อเสียงให้องค์กรในอดีตจะกลายเป็นดาบสองคมในยุคปัจจุบันและอนาคตหรือไม่ ?

            ตรงนี้แหละครับผมก็เลยอยากจะฝากเรื่องนี้เป็นข้อคิดสำหรับผู้บริหารในองค์กรต่าง ๆ ว่า

1.      ยูนิฟอร์มที่มีโลโก้มีตรา (Brand) ของบริษัทยังเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่

2.      ถ้ายังตอบว่าจำเป็น เช่น พนักงานในโรงงานจำเป็นต้องใส่ยูนิฟอร์มจะได้แยกแยะได้ว่าเป็นพนักงานหรือเป็นบุคคลภายนอก ก็ควรจะกำหนดให้พนักงานใส่ยูนิฟอร์มเฉพาะในโรงงานเท่านั้นไม่ให้ใส่ยูนิฟอร์มกลับบ้าน ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายบริษัทที่ปฏิบัติเช่นนี้อยู่

3.      บริษัทที่แจกเสื้อยืดหรือเสื้อแจ๊คเก็ตให้พนักงานใส่ ยังจำเป็นต้องให้เสื้อยืดนั้นมีโลโก้ของบริษัทอีกต่อไปหรือไม่ ถ้าเปลี่ยนเป็นให้พนักงานใส่เสื้อยืดหรือเสื้อแจ๊คเก็ตของตัวเองบริษัทก็ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำเสื้อยืดแจกให้กับพนักงานทุกปี (หรือบางแห่ง 2 ปีครั้ง) ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ไม่น้อยจะดีกว่าไหม

4.      โลโก้หรือ Brand ของบริษัทมีมูลค่าและมูลค่านี้ต้องใช้เวลาสร้าง กว่าจะได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าและสังคมก็ไม่น้อย ถ้าต้องมาเสียไปเพราะพนักงานที่นำโลโก้นี้ติดตัวไปในที่สาธารณะซึ่งปัจจุบันก็มีกล้องจับอยู่แทบทุกที่ จะเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามมาในภายหลังหรือไม่

5.      บางคนอาจเห็นแย้งว่า ผมมองอะไรในแง่ลบเกินไปหรือเปล่าเพราะในทางกลับกัน ถ้าพนักงานของบริษัทใส่เสื้อที่มีโลโก้ของบริษัทไปทำความดีล่ะ บริษัทก็ได้ชื่อเสียงไปด้วยไม่ใช่หรือ ก็ตอบได้ว่าระหว่างเรื่องร้าย ๆ กับเรื่องดี ๆ ทุกวันนี้สื่อ (ไม่ว่าจะสื่อหลักหรือสื่อโซเชียลก็ตาม) ในบ้านเราชอบเสนอเรื่องร้ายหรือดีมากกว่ากันล่ะครับ ท่านคงคิดต่อได้นะครับว่าบริษัทจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน

ท่านที่อ่านมาทั้งหมดนี้อาจจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่เห็นด้วยก็คงเป็นสิทธิของท่านแหละครับ ไม่จำเป็นต้องเชื่อผมทั้งหมด แต่ควรใช้หลักกาลามสูตรคิดวิเคราะห์ผลดีผลเสียให้รอบด้าน

ผมแค่เป็นคนนำเสนอไอเดียในมุมหนึ่งเท่านั้นเองครับ

                                         ...........................