เป็นที่ทราบกันว่าภายในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการระดมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่กันขนานใหญ่ เราก็จะได้เห็นตามหน้าสื่อต่าง ๆ ว่ามีทั้งคุณหมอและคนที่ได้รับวัคซีนต่างก็ออกมาพูดถึงอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนว่า บางคนก็มีอาการเยอะ บางคนก็แทบไม่มีอาการอะไรเลย
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ฉีดอีกไม่น้อยที่พออ่านการรีวิวอาการข้างเคียงจากสารพัดสื่อก็อาจจะวิตกกังวล
เพราะแต่ละคนก็จะมีสุขภาพที่แตกต่างกันไป บางคนก็กลัวว่าเมื่อฉีดวัคซีนไปแล้วจะเกิดปัญหาอย่างงั้นอย่างงี้
ฯลฯ
ก็เลยเป็นที่มาของเรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้ไงครับ
เพราะผมเริ่มเห็นตามหน้าสื่อต่าง
ๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ก็จะมีท่านผู้รู้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า....
ถ้าบริษัทมีนโยบายที่ต้องการจะให้พนักงาน
“ทุกคน” ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 แล้วถ้าพนักงานคนไหนไม่ร่วมมือไม่ยอมฉีด
บริษัทก็สามารถเลิกจ้างพนักงานคนนั้นได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยอ้างว่าพนักงานฝ่าฝืนมาตรา
119 ข้อ 4 คือฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมซึ่งนายจ้างได้ตักเตือนแล้ว
(กรณีร้ายแรงไม่ต้องตักเตือน)
เพราะบริษัทถือว่าถ้าพนักงานไม่ให้ความร่วมมือฉีดวัคซีนก็อาจจะทำให้บริษัทได้รับความเสียหายได้
ถ้าจะถามว่าผมคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้?
ตอบได้อย่างนี้ครับ
1.
เรื่องนี้ย่อมต้องมีคนที่คิดเห็นออกเป็น 2 แนวทางอยู่แล้ว
คือพวกหนึ่งจะบอกว่าถ้าพนักงานไม่ร่วมมือฉีดวัคซีนบริษัทสามารถเลิกจ้างได้เลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
กับอีกพวกหนึ่งจะบอกว่าเลิกจ้างได้แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานด้วยเพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าถ้าพนักงานฝ่าฝืนจะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงกับบริษัท
2.
คนที่จะตัดสินเรื่องนี้ได้และทุกฝ่ายต้องยอมรับคือ
“ศาลแรงงาน” ครับ ไม่ใช่ความคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง
ดังนั้นก็ต้องเกิดการปฏิบัติจริงตามข้อ 1 แล้วเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นมานั่นแหละเราถึงจะทราบบรรทัดฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
3.
แต่เนื่องจากผมเป็น HR ที่ชอบใช้วิธีสื่อสารพูดคุยกันด้วยแรงงานสัมพันธ์ที่ดีกันก่อน
(คือใช้การพูดคุยด้วยภาษาแบบพี่แบบน้องแบบเพื่อนร่วมงานแทนการพูดกันด้วยภาษากฎหมายน่ะครับ)
ผมก็จะทำแบบนี้ครับ
3.1
พนักงานที่ร่วมมือฉีดวัคซีน
ซึ่งผมเชื่อว่าพนักงานกลุ่มนี้จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของบริษัทกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาต้องแก้
กลุ่มนี้จบครับ
3.2
พนักงานที่ไม่ร่วมมือฉีดวัคซีนโดยมีปัญหาสุขภาพ
กลุ่มนี้ผมก็เชื่ออีกว่าน่าจะมีน้อยถึงน้อยมาก ๆ ก็ต้องคุยกันแบบ Case by case ว่าใครมีปัญหาอะไรทำไมถึงไม่อยากฉีดวัคซีน แล้วค่อยมาดูว่าเหตุผลของใคร Make
sense มากน้อยแค่ไหน
ถ้าคุยแล้วเห็นว่าพนักงานที่ไม่ฉีดวัคซีนมีปัญหาสุขภาพส่วนตัวจริง ๆ และสมเหตุสมผล
อันนี้ก็ต้องมาหาวิธีจัดการที่เหมาะสมกันต่อไปซึ่งกลุ่มนี้ก็จะเป็นกลุ่มที่เล็กมากหรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้
4.
พนักงานที่ไม่ร่วมมือโดยไม่มีปัญหาสุขภาพ
แต่ไม่อยากฉีดเพราะกลัวโน่นกลัวนี่ (อ่านสื่อมากจนเป็นวัคซีนโฟเบีย)
ก็ต้องหาคนที่เขาเคารพนับถือหรือคนที่เขาเชื่อฟังมาคุยกับเขา เช่น HR ลองไปคุยกันครอบครัวญาติพี่น้องคนที่เขานับถือให้มาช่วยพูดโน้มน้าวให้เขาฉีดวัคซีนเพื่อสุขภาพของเขาและส่วนรวมในบริษัท
หรือบางคนอาจจะกำลังรอวัคซีนในดวงใจไม่อยากได้วัคซีนที่รัฐจัดให้ ฯลฯ
ซึ่งผมเชื่อว่าก็น่าจะจบได้ด้วยดี แต่ถ้ายังไม่ยอมร่วมมือโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ก็ต้องบอกเขาว่าตัวเขาเองอาจจะมีปัญหาในการทำงานร่วมกับทีมงาน
หรือการไม่ร่วมมือนี้อาจมีผลกับการขึ้นเงินเดือนประจำปี การจ่ายโบนัส
ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทว่าจะเห็นสมควรจากเบาไปหาหนักโดยจัดการเป็น Case
by case
5.
ไม่ควรใช้วิธีการตั้งธงแบบเหมารวมเอาไว้แล้วออกประกาศทำนองว่าถ้าพนักงานคนไหนไม่ให้ความร่วมมือฉีดวัคซีน
บริษัทจะเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยโดยอ้างข้อกฎหมาย
เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เกิดการต่อต้านจากพนักงานทั้งคนที่อยากฉีดวัคซีนและคนที่ไม่อยากฉีด
เนื่องจากพนักงานจะเห็นว่าทำไมต้องมาบังคับกันด้วย เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล
ถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วใครจะรับผิดชอบ ฯลฯ มีหวังเกิดดราม่ามหากาพย์เรื่องยาว
พูดง่าย ๆ คือไม่ควรเอาปัญหาของคนกลุ่มเล็ก ๆ มาแก้ แล้วไปมีผลกระทบกับคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีปัญหาครับ
อ่านที่ผมแชร์ไอเดียมาทั้งหมดนี้แล้วก็อยู่ที่ท่านผู้อ่านแล้วล่ะครับว่าจะตัดสินใจยังไง
และควรจะต้องใช้หลักกาลามสูตรประกอบการคิดแก้ปัญหานี้ดูเพื่อให้ได้ทางแก้ที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรของท่าน
แล้วเราจะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปด้วยกัน
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
..............................