วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563

บริษัทขอดูเฟซบุ๊กของผู้สมัคร..ทำได้ไหม..ไม่ให้ดูได้ไหม?


            ผมเห็นมีการตั้งกระทู้ทำนองนี้ขึ้นมาในโลกออนไลน์ก็เลยอยากจะนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยชี้ให้เห็นมุมมองของทั้งฝั่งผู้สมัครงานและฝั่งบริษัทอย่างนี้ครับ

            ถ้ามองจากฝั่งผู้สมัครงานแล้วผมก็เชื่อว่าส่วนมากคงจะไม่เห็นด้วยเพราะเหตุผลหลัก ๆ คือรู้สึกว่าตนเองถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว นี่ขนาดยังไม่เข้ามาทำงานบริษัทยังไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลเลย ถ้าเข้ามาทำงานบริษัทจะละเมิดสิทธิอื่น ๆ อีกหรือเปล่า

            ถ้ามองจากฝั่งของบริษัทล่ะ ในการสรรหาคัดเลือกคนนั้นบริษัทมีต้นทุนในการหาคนตั้งแต่การลงประกาศรับสมัครงาน, การทดสอบข้อเขียน, สัมภาษณ์, การรับเข้ามาทดลองงาน, การจัดปฐมนิเทศ, ฝึกอบรมในระหว่างการทดลองงาน ฯลฯ ถ้าหากบริษัทได้คนที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมบริษัทก็จะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในการหาคนใหม่เข้ามาแทน นี่ยังไม่รวมปัญหาที่ได้คนไม่เหมาะสมด้านทัศนคติเข้ามาทำงานแล้วเข้ามาก่อกระแสสร้างความวุ่นวายในหมู่พนักงานที่เป็นความเสียหายแบบแอบแฝงอีกล่ะ

            เนื่องจากไม่มีระบบการคัดเลือกใดที่จะสามารถยืนยันคุณสมบัติหรือทัศนคติวิธีคิดของผู้สมัครได้เต็มร้อยหรอกครับ แต่ในยุคออนไลน์ปัจจุบันบริษัทก็จะสามารถตรวจสอบพฤติกรรม, ทัศนคติ, ความคิดเห็น, Lifestyle, ความชอบ-ไม่ชอบ ฯลฯ ของผู้สมัครได้จากเฟซบุ๊กซึ่งเป็นข้อมูลเชิงสถิติสะสมได้ชัดเจนมากขึ้น จึงเป็นที่มาของแนวคิดในการขอเช็คเฟซบุ๊กของผู้สมัครงานเพื่อยืนยันความมั่นใจว่าผู้สมัครงานมีคุณลักษณะที่เหมาะกับบริษัทจริงหรือไม่เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

          ถ้าจะถามว่าบริษัทมีสิทธิขอดูเฟซบุ๊กของผู้สมัครได้ไหม ก็ตอบว่าบริษัทขอดูได้

          ส่วนผู้สมัครจะให้ดูหรือไม่ก็เป็นสิทธิของผู้สมัครครับ ขึ้นอยู่กับผู้สมัครเองว่าอยากจะให้บริษัทดูหรือเปล่าล่ะ?

            ถ้าผู้สมัครแน่ใจว่าพฤติกรรมบนโลกออนไลน์ของตัวเองไม่เคยมีปัญหาทำนองนี้เช่น ไม่เคยโพสแสดงทัศนคติที่แย่ ๆ, ไม่เคยโพสดูถูกเหยียดใคร หรือไปด่าคนอื่นแบบรุนแรงแบบไม่มีเหตุผล, โพสระบายความในใจด่าหัวหน้าคนเดิมด่าบริษัทเก่าที่เคยทำงานมา, โพสเรื่องอกหักรักคุดด่าแฟนเก่า, เพื่อนไม่ให้ยืมเงินก็เอามาโพส ฯลฯ อย่างนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการหยิบโทรศัพท์ของเราให้บริษัทดูเฟซบุ๊กนะครับ

            แต่ถ้าบริษัทขอ Password ของเฟซบุ๊กนี่ผมไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะได้ยินว่ามีบางบริษัทถึงกับขอ Password นี่ผมว่าเสียมารยาทมากและไม่ควรทำอย่างยิ่ง

          หรือบางบริษัทจะขอ Add Friend กับผู้สมัคร อันนี้ผมก็ว่าไม่เหมาะครับ มากไปเยอะไป

          เพราะเขาเป็นเพียงผู้สมัครยังไม่รู้ว่าจะรับเข้าทำงานหรือไม่ แต่ไปขอ Password ขอ Add Friend นี่เพื่อ..?

            แต่พูดก็พูดเถอะผู้สมัครหลายคนก็อาจจะเตรียมตัวมาดีคือมีเฟซบุ๊กหลายบัญชีโดยสร้างบัญชีสำหรับเอาไว้โชว์ตอนสมัครงานเพราะถ้าถูกขอดูก็จะได้ได้ดูเฟซฯที่สร้างภาพดี ๆ เอาไว้แล้ว และมีเฟซบุ๊กเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิทกันไว้ต่างหากซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้บริษัทก็อาจจะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเฟซบุ๊กของผู้สมัครมากนักหรอกครับ ดังนั้นการขอดูเฟซบุ๊กจากผู้สมัครจึงอาจไม่ได้ผลนักถ้าเจอแบบนี้

          ประเด็นจึงกลับมาตรงที่การให้ความสำคัญในการคัดเลือกผู้สมัครงานของแต่ละบริษัทมีมากน้อยแค่ไหน คนที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์เห็นความสำคัญของการสัมภาษณ์และเข้าใจบทความหน้าที่ของตนเองที่จะต้องหาคนที่ “ใช่” แล้วหรือยัง รู้ไหมว่าเราต้องเป็นตัวแทนในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทให้ผู้สมัครงานเกิดความเชื่อถือมั่นใจ และบริษัทเคยให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการสัมภาษณ์, การอ่านผู้สมัครบ้างหรือเปล่า หรือคิดว่าคนที่มีตำแหน่งยิ่งสูงยิ่งสัมภาษณ์ได้ดีตามตำแหน่งเสมอ ยังไงก็ต้องคัดเลือกคนที่ใช่ได้แน่นอน?

หรือคิดว่าการสัมภาษณ์เป็นแค่เพียงการพูดคุยแบบถามไป-ตอบมา ยังใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบ “จิตสัมผัส” หรือ Unstructured Interview ยังขาดทักษะการอ่านคน หรือยังมีอคติประเภท HALO Effect คือชอบคิดนโนเชื่อมโยงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเช่น คนจบเกรดเฉลี่ย 2.0 เป็นคนไม่รับผิดชอบในการเรียน เมื่อมาทำงานก็จะไม่รับผิดชอบไปด้วย หรือคนที่จบจากสถาบันดัง ๆ ถึงจะเป็นคนทำงานเก่ง คิดว่าฉันเป็นกรรมการสัมภาษณ์ฉันมีอำนาจจะรับหรือไม่รับใครก็ได้ ผู้สมัครคือคนที่มาพึ่งพาอาศัยใบบุญเพื่อขอทำงานกับบริษัทฉันจะพูดจายังไงผู้สมัครต้องยอมรับฉันให้ได้ ฯลฯ

ถ้ากรรมการสัมภาษณ์ยังขาดทักษะการสัมภาษณ์และมีวิธีคิดอย่างที่บอกมานี้ การขอดูเฟซบุ๊กผู้สมัครงานก็ไม่ได้ช่วยให้บริษัทคัดเลือกคนที่ใช่เข้ามาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่หรอกจริงไหมครับ

………………………………
ฟังพ็อดแคสต์คลิ๊ก