วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เรายังมีความเชื่อในการพัฒนาพนักงานแบบนี้อยู่หรือครับ?


            “ความเชื่อ” เป็นเรื่องหนึ่งที่แก้ไขยากเลยนะครับเพราะเป็นเรื่องของเชื่อใคร-เชื่อมัน บางครั้งความเชื่อก็มีเหตุผลรองรับ แต่หลายครั้งความเชื่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับเรียกว่าเป็นความรู้สึกล้วน ๆ เลยแหละ

            ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อแบบมีหรือไม่มีเหตุผลรองรับ ถ้าไม่ได้ทำให้ตัวของคนที่เชื่อเดือดร้อนหรือไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เพราะคนเราก็มีสิทธิที่จะมีความเชื่อเป็นของตัวเองและจะไปบังคับกะเกณฑ์ให้คนอื่นมาเชื่อเหมือนเราก็คงไม่ได้เหมือนกัน

            แต่สิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้เป็นความเชื่อในเรื่องการพัฒนาพนักงานที่มาจากประสบการณ์ที่ผมพบเห็นมานานจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นความคิดของผมเองไม่ได้บังคับกะเกณฑ์ให้ใครมาคิดเห็นด้วยกับผมนะครับเป็นเรื่องที่อยากให้ผู้อ่านคิดตามไปด้วย แต่ถ้าอ่านแล้วยังไม่เชื่อตามที่ผมบอกมานี้ก็คงเป็นสิทธิของแต่ละคน

            วันนี้ผู้บริหารหลายองค์กรก็ยังมีความเชื่อแบบนี้อยู่ครับ

1.      เชื่อว่าการฝึกอบรมเหมือนบ่อชุบตัวสังข์ทอง เหมือนกับความเชื่อแบบที่ว่าถ้าชีวิตเราไม่ดีมีปัญหาก็แค่ไปที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เสียใหม่ก็แก้ปัญหานั้นได้แล้ว

2.      ตั้ง KPIs เอาไว้ว่า “ชั่วโมงฝึกอบรมต่อคนต่อปี” จะต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ยิ่งพนักงานมีชั่วโมงอบรมมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งแปลว่าคุณภาพของพนักงานยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

3.      พนักงานที่ผ่านการทดสอบในหลักสูตรที่เข้าอบรมตามที่กำหนดไว้ก็แสดงว่ามีคุณภาพแล้ว

4.      พนักงานได้รับวุฒิบัตรจากหลักสูตรที่ไปเข้าอบรมแสดงว่ามีคุณภาพตามวุฒิบัตรที่ได้รับ

5.      ผ่านการอบรมครบตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนดเอาไว้แสดงว่ามีคุณภาพแล้ว

            เมื่อมีความเชื่อแบบข้างต้นหลายบริษัทก็มุ่งส่งพนักงานไปอบรมให้ได้ตามเป้าหมาย บางแห่งก็อาจจะมีหน่วยงานมาตรวจสอบด้วยว่ามี “พิธีกรรม” ตาม 5 ข้อนี้แล้วหรือยัง ถ้าทำพิธีกรรมครบแล้วก็ถือว่า “สอบผ่าน” พนักงานที่ผ่านพิธีกรรมมีคุณภาพ มีมาตรฐานแล้ว

          และที่สำคัญคือคิดว่าคุ้มค่าเงินที่บริษัทลงทุนส่งพนักงานไปอบรมแล้ว..หรือ??

            ผมเรียนมาทางด้านบริหารธุรกิจทั้งปริญญาตรีและโท เคยเรียนและสอบผ่านวิชาหนึ่งที่ชื่อว่าระเบียบวิธีการวิจัย (ชื่อทำนองนี้แหละครับพูดง่าย ๆ ว่านักเรียน MBA ทุกคนจะต้องเรียนรู้เรื่องการทำวิจัยกันมาแล้วทั้งนั้น) เป็นเรื่องของการตั้งสมมุติฐาน, การทดสอบสมมุติฐาน, การวิเคราะห์และแปลผลที่ได้จากการทำวิจัย ฯลฯ

            ก็ต้องบอกตามตรงว่าผมลืมไปหมดแล้วครับถ้าใครมาถามเรื่องของการวิจัยว่าทำยังไงก็คงจะตอบได้แค่กว้าง ๆ ข้างต้น

            เพราะผมไม่ได้นำสิ่งที่เรียนมาใช้ในการทำงานจริงเลยน่ะสิครับ

            ฉันใดก็ฉันเพล

          พนักงานที่ผ่านการอบรม ที่สอบผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ที่ได้รับวุฒิบัตร ที่มีชั่วโมงการอบรมตามที่กำหนดไว้ ฯลฯ ถ้าไม่ได้นำสิ่งที่เรียนรู้มา Practice ให้เกิดเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้จริงย่อมทำให้การฝึกอบรมหรือพัฒนานั้นสูญเปล่า!!

            นี่คือความเชื่อของผมจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา ใครจะเชื่อตามนี้หรือไม่คงเป็นสิทธิของแต่ละคน

          ความเชื่อของผมคือคุณภาพในการพัฒนาพนักงานจะเกิดขึ้นได้เมื่อหัวหน้าส่งลูกน้องไปอบรมแล้วหัวหน้าจะต้องทำ 4 เรื่องหลัก ๆ คือ “รู้-มอบหมาย-ติดตาม-แจ้งผล”

1.      รู้ : รู้ว่าลูกน้องไปอบรมเรื่องอะไรมา

2.      มอบหมาย : มอบหมายให้ลูกน้องนำสิ่งที่เรียนรู้จากการอบรมมาใช้ในการทำงานและสร้างผลงานให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้จริง เช่น ผมส่งลูกน้องไปอบรมหลักสูตรการทำโครงสร้างเงินเดือนผมก็มอบหมายให้เขาเป็น Project Leader ในการ Update โครงสร้างเงินเดือนของบริษัท เป็นต้น

3.      ติดตาม : ติดตามตรวจสอบดูว่าลูกน้องสามารถทำได้ถูกต้องมาก-น้อยแค่ไหน ซึ่งหัวหน้าจะต้องเป็นโค้ชหรือเป็นที่ปรึกษาคอยสอนงานและช่วยลูกน้องแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดการพัฒนาในการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง

4.      แจ้งผล : หัวหน้าแจ้งผลให้ลูกน้องรู้ว่าอะไรบ้างที่ทำดีแล้วอะไรที่ควรปรับปรุงเพื่อให้ลูกน้องเก่งขึ้นในเรื่องที่ไปเรียนรู้มา

          ถ้าทำได้อย่างนี้แหละครับคือการวัดคุณภาพในการพัฒนาคนที่คุ้มค่าในเงินงบประมาณที่องค์กรส่งคนไปอบรมที่แท้ทรู!

            ไม่ใช่การพัฒนาด้วยการฝึกอบรมตามพิธีกรรมแบบเดิม ๆ โดยมีตัวชี้วัดคุณภาพแบบฉาบฉวยลวงตาทำให้เสียเวลา(ในการอบรม)และเสียเงิน(งบประมาณ)ไปแบบสูญเปล่าในทุก ๆ ปีที่ผ่านไปแล้วคนที่บริษัทส่งเข้าอบรมก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรที่เพิ่มขึ้น

            บอกแล้วว่านี่เป็นความเชื่อเฉพาะตัวของผม และไม่ได้บังคับให้ใครมาเชื่อตาม

            อ่านแล้วจะคิดจะเชื่อยังไงคงเป็นสิทธิของท่านครับ.

.................................