คำถามนี้มาจากคนที่ทำงานในบริษัทที่มีการจ่ายเงินอื่นนอกเหนือจากเงินเดือนครับ
ถ้าบริษัทไหนจ่ายเงินเดือนเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการจ่ายเงินอื่นอีกเลยซึ่งถ้ามีการจ่ายแบบนี้ก็ใช้เงินเดือนเป็นฐานในการคำนวณค่าโอที,
ขึ้นเงินเดือนประจำปี, จ่ายโบนัส, ค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า,
เงินสมทบประกันสังคม ฯลฯ ก็คงจะไม่มีคำถามนี้
สำหรับบริษัทที่ไม่ได้จ่ายแต่เงินเดือนเพียงตัวเดียวแต่ยังมี
“เงินอื่น” อีกหลาย ๆ ตัวที่จ่ายให้กับพนักงานด้วยสารพัดเหตุผลของผู้บริหาร
เงินอื่น ๆ เหล่านี้ก็เช่น ค่าครองชีพ, ค่าภาษา, ค่าวิชาชีพ, ค่าตำแหน่ง,
ค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำมันรถ ฯลฯ
การจ่ายโดยมี “สารพัดค่า”
นี่แหละครับทำให้เกิดคำถามข้างต้น
ในกฎหมายแรงงานไม่มีการพูดถึงสารพัดค่าเหล่านี้และก็ไม่ได้พูดถึงคำว่า
“เงินเดือน” ด้วยซ้ำ
แต่พูดถึงคำว่า
“ค่าจ้าง” ตามมาตรา 5 ที่จะต้องใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินต่าง
ๆ ที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้กับลูกจ้างตามกฎหมาย เช่น
การคำนวณค่าล่วงเวลาในวันทำงานปกติ, ค่าล่วงเวลาในวันหยุด, ค่าทำงานในวันหยุด,
ค่าชดเชย, ค่าชดเชยพิเศษ, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
หรือถ้าทางด้านประกันสังคมก็ต้องใช้ค่าจ้างเป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้างเพื่อนำส่งประกันสังคม
“ค่าจ้าง”
ตามมาตรา 5
คืออะไร?
ก็ตามนิยามนี้แหละครับ
“ค่าจ้าง” หมายความว่า
เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน
และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน
แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งก็ต้องมาตีความกันว่าเงินตัวไหนบ้างที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเป็นค่าจ้าง
ตัวไหนไม่ใช่ค่าจ้าง
เช่น
ค่าภาษา, ค่าวิชาชีพ, ค่าตำแหน่ง
ที่มีการจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานและจ่ายในเวลาทำงานปกติอันนี้ก็เป็นค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมเป็นฐานในการคำนวณโอที,
ค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า, เงินสมทบประกันสังคมแหงแก๋
แต่ก็ยังมีบริษัทอีกไม่น้อยที่ไม่นำเงินอื่นที่เข้าข่ายค่าจ้างรวมเข้าไปกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐานในการคำนวณผลประโยชน์ให้กับพนักงานตามกฎหมายแรงงานด้วยเหตุผลง่าย
ๆ ว่า....
“บริษัทอื่นเขาก็ไม่เห็นต้องนำมารวมกับเงินเดือนก็ยังไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย....”
ตอบมาอย่างงี้มันก็ถูกอยู่หรอกครับว่าตอนนี้ยังไม่มีปัญหา
แต่ก็ให้รู้ว่าการทำแบบนี้ผิดกฎหมายแรงงานอยู่
ถ้าเมื่อไหร่มีการร้องเรียนแรงงานเขต หรือพนักงานไปฟ้องศาลแรงงานบริษัทก็มีปัญหาและคงต้องแพ้คดีในที่สุดแหละครับ
มันก็เหมือนกับคนทำผิดกฎจราจรอยู่ในตอนนี้แหละที่มักจะชอบพูด
“ว่าทีคนอื่นเขายังขับรถเร็วเกินกำหนด, จอดในที่ห้ามจอดไม่เห็นเป็นไรเลย
เราก็ทำมั่งสิ” ฉันใดก็ฉันเพลแหละครับเราโดนจับโดนใบสั่งเมื่อไหร่ก็มีปัญหาแน่
คราวนี้เรามาดูกันอีกกรณีหนึ่งคือการขึ้นเงินเดือนประจำปี
และการจ่ายโบนัสล่ะ
ถ้าบริษัทมีระเบียบว่าบริษัทจะใช้เฉพาะเงินเดือนเท่านั้นเป็นฐานในการคำนวณจะผิดกฎหมายแรงงานหรือไม่?
ก็ตอบได้ว่ากฎหมายแรงงานเขาไม่ได้บังคับให้นายจ้างจะต้องขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสให้ลูกจ้างทุกปีและให้นำค่าจ้างมาเป็นฐานในการคำนวณนี่ครับ
ดังนั้นบริษัทไหนจะขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสให้กับพนักงานยังไงก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารของบริษัทนั้น
ๆ จะให้หรือไม่ให้ซึ่งเป็นสิทธิในการจัดการของนายจ้าง (ถ้าบริษัทไม่ไปทำให้เรื่องนี้กลายเป็นสภาพการจ้างนะครับ
เช่น ดันไปออกประกาศว่าบริษัทจะจ่ายโบนัสให้กับพนักงานทุกปี ๆ ละ 4 เดือนโดยไม่มีเงื่อนไข
อย่างงี้ก็จบข่าวครับต่อให้บริษัทขาดทุนยังไงก็ต้องจ่ายโบนัสให้พนักงานทุกปี
ซึ่งผมว่าในปัจจุบันคงไม่มีบริษัทไหนไปประกาศให้กลายเป็นสภาพการจ้างแบบนี้หรอกนะครับ)
จึงสรุปได้ว่าการขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสก็ขึ้นอยู่กับระเบียบหรือกติกาที่บริษัทจะสงวนสิทธิเอาไว้โดยเขียนให้ชัดเจนว่าจะใช้เงินเดือนเท่านั้นเป็นฐานในการคำนวณ
หวังว่าคนที่สังสัยในเรื่องนี้จะเข้าใจตรงกันแล้วนะครับ
…………………………