ก่อนที่หัวหน้าจะประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้องตอนปลายปี
ในตอนต้นปีหัวหน้าเคยทำแบบนี้บ้างไหมครับ
1.
รู้งานของลูกน้อง หัวหน้าจะต้องรู้ว่าลูกน้องมีงานและความรับผิดชอบอะไรบ้างโดยการนำ
JD
(Job Description) ของลูกน้องมาดูเป็นรายบุคคลว่าปัจจุบันคนไหนทำงานอะไร
รับผิดชอบงานอะไรบ้าง
2.
กำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการให้ลูกน้องแต่ละคน จากงานในความรับผิดชอบตาม
JD หัวหน้านำมากำหนดเป้าหมายในการทำงานของลูกน้องแต่ละคนให้ชัดเจนว่าต้องการให้ลูกน้องทำงานอะไรบ้างโดยกำหนดงานแต่ละเรื่องให้ชัดเจนว่าต้องการจะให้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่
ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร
ข้อควรระวังในการกำหนดเป้าหมาย
ก็คือไม่ควรกำหนดเป้าหมายเอาไว้เยอะแยะจนเกินไปหรือมุ่งแต่จะให้มีเป้าหมายเป็นตัวเลขไปเสียหมดทุกเรื่องจนลืมเรื่องของ
“สามัญสำนึก” ในการประเมินลูกน้อง
เพราะหัวหน้าที่ทำงานอยู่กับลูกน้องอยู่ทุกวันย่อมจะต้องมีสามัญสำนึกได้ว่าลูกน้องคนไหนทำงานได้ดี
คนไหนดีแต่คุยหรือคนไหนไม่รับผิดชอบในงาน
เมื่อหัวหน้ารู้ว่าใครทำงานดีมากน้อยแค่ไหนย่อมจะตัดสินใจให้คุณให้โทษลูกน้องได้จากสามัญสำนึกนี่แหละครับ
แต่ถ้าหัวหน้าคนไหนขาดทักษะในเรื่องนี้หรือไม่มีสามัญสำนึกในการอ่านคุณค่าในตัวลูกน้องที่ดี
แม้จะมีการกำหนดตัวชี้วัดหรือมีเป้าหมายที่เป็นตัวเลขเอาไว้ยังไงในที่สุดก็จะไม่สามารถรักษาลูกน้องที่เก่ง-ดี-มีฝีมือให้อยู่กับตัวเองได้หรอกครับ
3.
แจ้งเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการให้ลูกน้องทราบ แจ้งให้ลูกน้องทราบตามข้อ
2 เพื่อให้เขารู้ว่าหัวหน้าคาดหวังหรือต้องการให้เขาทำอะไรเสร็จสิ้นเมื่อไหร่
ผลลัพธ์ที่ต้องการตามเป้าหมายในแต่ละเรื่องคืออะไร
4.
สื่อสารสองทางและรับฟังลูกน้อง เปิดโอกาสให้ลูกน้องได้ซักถามทำความเข้าใจเรื่องเป้าหมายและผลลัพธ์รวมถึงกรอบเวลาที่ต้องการให้ลูกน้องทำให้ตรงกัน
สิ่งสำคัญในเรื่องนี้คือทั้งหัวหน้าและลูกน้องควรมีความเข้าใจในเป้าหมายของงานที่จะต้องรับผิดชอบตรงกัน
5.
ติดตามผลการทำงานของลูกน้องเป็นระยะเพื่อดูว่าลูกน้องทำงานได้ผลลัพธ์ในแต่ละเรื่องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่
ถ้าลูกน้องมีปัญหาในการทำงานหัวหน้าจะต้องเข้าไปช่วยให้คำแนะนำหรือสอนงานลูกน้องตลอดจนช่วยลูกน้องในการคิดแก้ปัญหานั้น
ๆ ด้วย
6.
แจ้งผล (Feedback) การทำงานของลูกน้องเป็นระยะตามเวลาที่เหมาะสม อย่าลืมการชมเชยเมื่อลูกน้องทำได้ดี
และให้กำลังใจในจังหวะที่สมควร
7.
ผิดพลาดตำหนิได้แต่อย่าด่า หากลูกน้องทำงานผิดพลาดเกิดความเสียหาย
หัวหน้าสามารถว่ากล่าวตักเตือนหรือตำหนิได้และควรหาทางแก้ปัญหาร่วมกับลูกน้องและควรบอกเป้าหมายในการแก้ปัญหาที่ต้องการเห็นให้ลูกน้องเข้าใจตรงกัน
สิ่งที่ควรระวังคือไม่ควรใช้อารมณ์หรือการดุด่าว่ากล่าวด้วยอารมณ์โกรธหรือ “ด่า”
ลูกน้อง รวมไปถึงการพูดจาแดกดัน เสียดสี ดูหมิ่น ถากถางลูกน้อง
หัวหน้าต้องมีสติเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าการตำหนิไม่ใช่การด่าด้วยอารมณ์นะครับ
8.
ประเมินผลการทำงานของลูกน้องตามเป้าหมายของงานที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกตามข้อมูลที่ติดตามผลงานลูกน้องมาตั้งแต่ต้น
9.
แจ้งผลการประเมินให้ลูกน้องรับทราบ
และนำผลการปฏิบัติงานของลูกน้องไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ เช่นการขึ้นเงินเดือนประจำปี,
จ่ายโบนัส, เลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ
ถ้าหัวหน้ามีวิธีปฏิบัติตามที่บอกมาข้างต้นก็น่าจะช่วยลดปัญหาในการประเมินผลการปฏิบัติงานและการทำงานร่วมกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องลงได้มาก
บริษัทไม่ควรประเมินผลการปฏิบัติงานในแบบเดิม
ๆ คือมีแบบฟอร์มการประเมินที่มีปัจจัย(หรือหัวข้อ)ในการประเมินแบบกลาง ๆ เช่น
ปริมาณงาน, คุณภาพงาน, ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์, ความขยัน, ความตรงต่อเวลา,
ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ฯลฯ แล้วให้สรุปผลการประเมินโดยรวม
ซึ่งการประเมินผลโดยใช้แบบฟอร์มที่ไม่เกี่ยวกับงานของลูกน้องโดยตรงแบบนี้จะมีปัญหามาโดยตลอด
ผมจึงให้ดูตัวอย่างแบบประเมินผลตามที่บอกไปข้างต้นดังนี้ครับ
.......................................