บ่อยครั้งที่ผมได้รับคำถามทั้งในห้องอบรมหรืออีเมล์มาสอบถามว่าบริษัททำสัญญาจ้างแบบนี้ได้ด้วยหรือ
เช่น
1.
ระบุในสัญญาจ้างว่าถ้าพนักงานไม่ยื่นใบลาออกตามระเบียบของบริษัท
บริษัทจะไม่จ่ายเงินเดือนงวดสุดท้าย เช่น
บริษัทมีระเบียบว่าต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน
แต่ถ้าพนักงานยื่นใบลาออกวันที่ 15 มีนาคม ให้มีผลลาออกวันที่
1 เมษายน บริษัทนี้ก็จะไม่จ่ายเงินเดือนงวดสุดท้ายคือ 1-15
มีนาคม
เพราะถือว่าพนักงานทำผิดระเบียบการลาออกและทำให้บริษัทเสียหายหาคนมาแทนไม่ทัน
2.
บริษัทมีระเบียบเรียกเก็บเงินค้ำประกันการทำงานทุกตำแหน่งงาน
เช่น สมัครทำงานตำแหน่งพนักงาน HR ก็ถูกเรียกเก็บเงินค้ำประกันการทำงาน
โดยบริษัทจะหักเงินเดือนทุกเดือนตามที่ตกลงกันจนกว่าจะครบวงเงินค้ำประกัน
3.
ถ้าพนักงานไม่ยื่นใบลาออกตามระเบียบของบริษัท
บริษัทก็จะไม่คืนเงินค้ำประกันการทำงาน
4.
ถ้าพนักงานไม่ผ่านทดลองงาน บริษัทก็จะไม่คืนเงินค้ำประกันการทำงานด้วยเช่นเดียวกัน
5.
บริษัททำสัญญาจ้างเป็นพนักงานรายปี
โดยทำสัญญาปีต่อปีมีเงื่อนไขว่าถ้าปีที่ผ่านมาทำงานดี บริษัทก็จะต่อสัญญาในปีต่อไป
แต่ถ้าในปีที่ผ่านมาผลงานไม่ดีบริษัทก็จะไม่ต่อสัญญาและจะบอกเลิกจ้างได้โดยบริษัทจะไม่จ่ายค่าชดเชยใด
ๆ ทั้งสิ้น
ฯลฯ
ข้างต้นนี้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้สมัครงานที่เขาสงสัยว่าบริษัทที่ตอบรับเข้าทำงานเขาจะทำสัญญาจ้างอย่างนี้ได้หรือไม่
อีกกรณีหนึ่งคือคนที่เป็นพนักงานและทำงานกับบริษัทมาสักปีสองปีหรือมากกว่านั้น
แล้วก็เพิ่งรู้ว่าบริษัทมีกฎระเบียบที่แปลก ๆ ดังนี้
1.
ไม่มีระเบียบการจ่ายโอทีที่ชัดเจน
ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหัวหน้าหรือดุลพินิจของเถ้าแก่ว่าจะให้หรือไม่
แถมการคิดค่าโอทีก็ใช้วิธีการเหมาจ่ายที่อัตราต่ำกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนด
2.
สั่งให้พนักงานไปทำงานนอกสถานที่แต่ไม่มีค่าพาหนะให้
พนักงานต้องจ่ายค่าแท๊กซี่หรือค่ารถไฟฟ้ากันเอาเอง
3.
หักค่ามาสายเกินกว่าเวลามาสายจริง เช่น
มาสาย 3
ครั้งใน 1 เดือนจะถูกหักค่ามาสาย 1 วัน
4.
มีระเบียบการลาพักร้อน แต่พนักงานไม่เคยได้ลาครบตามสิทธิที่มีแถมบริษัทไม่จ่ายคืนเป็นเงินโดยอ้างว่าพนักงานไม่ลาพักร้อนเองก็ถือว่าสละสิทธิ
5.
เมื่อถึงสิ้นเดือนจ่ายเงินเดือนไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้
ฯลฯ
ระเบียบหรือวิธีปฏิบัติทำนองนี้ยังมีให้เห็นได้อยู่เสมอในบางบริษัทที่มีการบริหารจัดการแบบเก่า
ๆ ซึ่งทำให้เป็นที่มาของคำถามที่ว่า
“บริษัททำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”
หรือแทนที่จะถามว่า “ควรจะทำงานกับบริษัทแบบนี้ดีหรือไม่”
ผมมักจะบอกว่าผู้ถามควรจะตั้งคำถามใหม่จะดีไหมครับ เปลี่ยนเป็นมาตั้งคำถามว่า....
ผมมักจะบอกว่าผู้ถามควรจะตั้งคำถามใหม่จะดีไหมครับ เปลี่ยนเป็นมาตั้งคำถามว่า....
“มีบริษัทอื่นที่ดีกว่านี้อีกไหม?”
แล้วผู้ถามลองตอบใจตัวเองดู
เพราะคำถามที่ดีจะนำมาสู่คำตอบที่ดี ๆ อยู่เสมอนะครับ
...................................