ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาผมก็เชื่อว่าจะมีคนตอบแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับ Normal curve ก็จะส่ายหน้าเป็นพัดลมพร้อมกับบอกว่า Noๆๆๆๆ ทำไมต้องมี Normal curve ด้วย จะหวงเกรดอะไรกันนักหนา จะให้ A หมดทุกคนไม่ได้หรือไง
ก็หน่วยงานของเรามีแต่เหล่าซูเปอร์ฮีโร่มาอยู่รวมกันพวกอเวนเจอร์ยังไม่อยากจะเจอหน้าเราเลย ก็คนมันทำงานดีจริงๆนี่นา
เพราะฉะนั้น Normal curve ออกไปๆๆๆๆๆ พร้อมยกป้ายประท้วงกันพรึ่บ
กลุ่มที่เห็นด้วยกับ Normal curve ซึ่งกลุ่มนี้มักจะเกี่ยวขัองกับงบประมาณขึ้นเงินเดือน ก็จะบอกว่า ไอ้เรื่องเกรดน่ะฉันไม่หวงหรอกแต่ถ้าฝ่ายบริหารอนุมัติให้ปีนี้ขึ้นเงินเดือนประจำปีได้ไม่เกิน 5%
สมมุติว่าเงินเดือนของพนักงานในฝ่ายผลิตรวมทั้งหมด 100,000 บาท ฝ่ายผลิตก็จะได้รับงบประมาณให้ขึ้นเงินเดือนพนักงานได้ไม่เกิน 5,000 บาท แล้วถ้าบอกว่าพนักงานฝ่ายผลิตได้ A ทุกคน ก็ถามหน่อยเถอะว่าผู้จัดการฝ่ายผลิตจะจัดจัดสรรงบประมาณให้เหล่าอเวนเจอร์ของตัวเองยังไงที่จะทำให้พวกอเวนเจอร์รู้สึกยุติธรรมล่ะถ้าจะให้เฉลี่ยเท่ากันทุกคนจะโอเคมั๊ยล่ะ และอย่าลืมสัจธรรมข้อที่ว่า "เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่" ให้ดีๆเถอะหนา
เพราะฉะนั้น Normal curve ยังจำเป็นต้องใช้เพื่อการจัดสรรและควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีให้สัมพันธ์กับผลงาน(หรือเกรด)อยู่นะครับ
ท่านล่ะครับ มีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้?
ปล.นี่เราแค่เพียงถกกันเรื่องการประเมินผลงานที่สัมพันธ์กับงบประมาณขึ้นเงินเดือนเท่านั้นเองนะครับ
เรายังไม่ได้พูดกันในเรื่องภาพใหญ่กว่านี้คือเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีเฉลี่ย 5% ในบริษัทต่างๆในบ้านเรามากว่า 10 ปีแล้วนั้นมันโตน้อยกว่าเปอร์เซ็นต์การเติบโตของค่าจ้างและเงินเฟ้อภายนอกบริษัทเสียอีก เช่น ปีนี้เราปรับค่าจ้างขั้นต่ำในกทม.จาก 310 บาทเป็น 325 บาทเท่ากับขึ้นมา 5% (โดยที่ไม่ต้องมีการประเมินผลงานใดๆเลย)และเงินเฟ้อ 1% รวมเป็น 6% ในขณะที่ขึ้นเงินเดือนประจำปี (ที่ต้องมีการประเมินผลงานทะเลาะกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแทบแย่) เฉลี่ย 5% เท่ากับปีนี้ติดลบ 1%
เรื่องเหล่านี้ถ้ามาตั้งวงคุยกันคงเป็นเรื่องยาวเลยนะครับ
เรายังไม่ได้พูดกันในเรื่องภาพใหญ่กว่านี้คือเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีเฉลี่ย 5% ในบริษัทต่างๆในบ้านเรามากว่า 10 ปีแล้วนั้นมันโตน้อยกว่าเปอร์เซ็นต์การเติบโตของค่าจ้างและเงินเฟ้อภายนอกบริษัทเสียอีก เช่น ปีนี้เราปรับค่าจ้างขั้นต่ำในกทม.จาก 310 บาทเป็น 325 บาทเท่ากับขึ้นมา 5% (โดยที่ไม่ต้องมีการประเมินผลงานใดๆเลย)และเงินเฟ้อ 1% รวมเป็น 6% ในขณะที่ขึ้นเงินเดือนประจำปี (ที่ต้องมีการประเมินผลงานทะเลาะกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแทบแย่) เฉลี่ย 5% เท่ากับปีนี้ติดลบ 1%
เรื่องเหล่านี้ถ้ามาตั้งวงคุยกันคงเป็นเรื่องยาวเลยนะครับ
........................................