เห็นข่าว DTAC ยกเลิก KPI แล้วเปลี่ยนมาเป็น
OKR (Objectives & Key Result) แล้วก็เลยอยากชวนคิดอย่างนี้ครับ
คงเคยได้ยินนิทานเรื่องคนเลี้ยงม้ามีหน้าที่จูงม้ามาที่ลำธารเป้าหมายคือต้องการจะพาม้ามากินน้ำ
แต่ม้าจะกินน้ำตามเป้าหมายหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าม้าอยากจะกินน้ำหรือเปล่า
ถ้าจะเปรียบนิทานเรื่องนี้มาเป็นการทำงานก็คือ....
ผู้บริหารมีหน้าที่ชักจูงให้ทุกคนในองค์กรทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
โดยมีหลักคิดว่าการที่จะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้นั้นจะต้องมีการกำหนดตัวชี้วัด
(KPI)
ขององค์กร-หน่วยงาน-ตัวบุคคลให้สอดคล้องกันเสียก่อนคนถึงจะทำงานบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
แต่การกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายในหลายครั้งก็เหมือนกับความพยายามกดคอม้าให้กินน้ำทั้ง
ๆ ที่ม้ายังไม่อยากกินน้ำ
เรียกว่ามองแต่ว่าทำยังไงจะให้บรรลุตัวชี้วัดและเป้าหมายไปโดยมองข้ามปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งคือ....
“แรงจูงใจ”
จึงไม่ควรมุ่งแค่ตัวชี้วัดและเป้าหมาย
(ไม่ว่าจะเรียกว่า KPI
หรือ OKR) แล้วมองข้ามแรงจูงใจนะครับ
เพราะคนเราจะทำงานหรือทำอะไรก็แล้วแต่ล้วนแต่ต้องมีแรงจูงใจ
ผมจึงมองว่าไม่ว่าจะเปลี่ยนวิธีการวัดผลงานจาก
KPI หรือ OKR ไปเป็นตัวไหนก็ตาม
ถ้าตัวผู้บริหารหรือหัวหน้ายังไม่สามารถเข้าถึงจิตใจลูกน้องและเข้าใจเรื่องการสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับลูกน้องแล้ว
เราก็ยังคงมีปัญหาแบบเดิม ๆ เช่น
ปีนี้ทำได้ตามเป้าหมายแต่ปีหน้าก็มีคนลาออกเพราะทนรับเป้าหมายที่ไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเองไม่ได้
การมีเป้าหมายในการทำงานเป็นเรื่องที่ดี
แต่การบังคับให้ลูกน้องทำงานให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่หน้างาน,
ไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติ,
ไม่เคยถามความคิดเห็นแต่จะสั่งให้ทำให้ได้ตามเป้าเท่านั้นและถ้าทำไม่ได้ก็จะมีบทลงโทษตามมา
ฯลฯ
นอกจากไม่เกิดแรงจูงใจสำหรับคนทำงานแล้วยังเกิดแรงต่อต้านกลับมาตามกฎ
Action=Reaction
อีกต่างหาก
การพยายามกดคอม้าให้กินน้ำตาม KPI โดยไม่ดูว่าม้าหิวน้ำหรือยัง
ผลที่ตามมาคืออาจจะถูกม้าเตะหรือสบัดหลุดแล้ววิ่งหนีเข้าป่าหายไปโดยไม่กลับมาหาเจ้าของม้าอีกเลยก็ได้นะครับ
……………………………………