การกระทำความผิดทางวินัยตามกฎหมายแรงงานเรื่องหนึ่งที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่หากลูกจ้างกระทำความผิดนี้นายจ้างจะสามารถบอกเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
(ตามอายุงาน) และไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
นั่นคือเรื่อง “การละทิ้งหน้าที่” หรือภาษาคนทำงานจะเรียกว่า
“การขาดงาน” ครับ
คือตามมาตรา
119 วงเล็บ 5 ของกฎหมายแรงงานเขียนไว้อย่างนี้
มาตรา ๑๑๙
นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้….
….(๕) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร….
นี่ผมคัดมาเพียงส่วนที่พูดถึงความผิดของลูกจ้างในเรื่องการละทิ้งหน้าเท่านั้นนะครับ
รายละเอียดมากกว่านี้ให้ท่านเข้าไปที่กูเกิ้ลแล้วพิมพ์คำว่ากฎหมายแรงงานนะครับ
จากความผิดของลูกจ้างในข้อนี้มักจะมีข้อถกเถียงกันอยู่บ่อย
ๆ ว่าแล้วการละทิ้งหน้าที่แบบไหนที่ถือว่า “มีเหตุอันสมควร”
หรือการละทิ้งหน้าที่แบบไหนถึงจะ “ไม่มีเหตุอันสมควร”
ผมก็เลยขอประมวลตัวอย่างมาเพื่อพอเป็นไอเดียสำหรับท่านดังนี้ครับ
การละทิ้งหน้าที่ที่น่าจะถือได้ว่ามีเหตุอันสมควร
1.
มีเหตุเกิดจากปัจจัยภายนอก
เช่น ฝนตกหนักทางขาด หรือเกิดน้ำท่วมจนลูกจ้างไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ตามปกติ
2.
ลูกจ้างป่วยหนักจนมาทำงานไม่ได้
3.
หยุดไปช่วยงานศพบุพการี,
คู่สมรส, บุตร
4.
มีเหตุจำเป็นทางครอบครัว
เช่น ต้องดูแลรักษาพยาบาลบุพการี, คู่สมรส, บุตร
ที่ป่วยหนักมากจำเป็นต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
5.
ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไว้
6.
ถูกนายจ้างสั่งให้หยุดงานไปก่อน เช่น ลูกจ้างถูกตำรวจจราจรยึดใบอนุญาตขับขี่
หัวหน้าจึงบอกให้หยุดพักงานไปก่อนจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตขับขี่กลับคืนมา
7.
ถูกนายจ้างแจ้งเลิกจ้างไม่ให้มาทำงานโดยให้มีผลในวันรุ่งขึ้น
ทำให้ลูกจ้างหยุดงานในวันรุ่งขึ้นตามคำสั่งนายจ้าง
ซึ่งการละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างตามตัวอย่างข้างต้นนี้จะถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่
(หรือเรามักจะเรียกว่าขาดงาน) โดยมีเหตุอันสมควรครับ
การละทิ้งหน้าที่ที่น่าจะถือว่า
“ไม่มีเหตุอันสมควร”
การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างดังต่อไปนี้แหละครับที่น่าจะเข้าข่ายการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ซึ่งถ้าหากละทิ้งหน้าที่การงานไปตั้งแต่สามวันทำงานติดต่อกัน
(ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม)
ก็จะทำให้นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าครับ
มีดังนี้
1.
ลูกจ้างลงเวลาเข้าทำงานแต่ไม่ปฏิบัติงาน
เช่น มารูดบัตรลงเวลามาทำงานตั้งแต่เช้า
แต่แทนที่จะทำงานกลับโดดงานไปเที่ยวหรือกลับไปนอนตีพุงอยู่บ้านซะงั้น
แม้จะมารูดบัตรลงเวลาทำงานก็จริงแต่ถือว่า “ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร” ครับ
2.
นัดหยุดงานโดยไม่ชอบ
โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่ดี ๆ ก็ชักชวนเพื่อน ๆ ให้นัดหยุดงานวันรุ่งขึ้นเพื่อประท้วงหัวหน้าโดยไม่ได้มีการบอกกล่าวหรือยื่นข้อเรียกร้องใด
ๆ ให้นายจ้างรู้มาก่อน
3.
หยุดงานเพราะเมาค้างมาจากเมื่อคืน
พูดง่าย ๆ ภาษาคอเหล้าว่า “แฮ๊งค์” น่ะครับ ตื่นมาทำงานไม่ไหวก็เลยหยุดงานซะงั้น
4.
บริษัทมีคำสั่งย้ายโดยชอบให้พนักงานไปปฏิบัติงานที่อื่นซึ่งบริษัทมีอำนาจออกคำสั่งได้ตามกฎระเบียบของบริษัท
แต่พนักงานที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งของบริษัทกลับดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายไปทำงานตามคำสั่ง
อย่างนี้ก็ถือว่าพนักงานคนนั้นละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรครับ
5.
แจ้งลาป่วยเท็จ
แม้ว่าบริษัทจะอนุมัติให้ลาป่วยไปแล้ว แต่ต่อมาบริษัททราบความจริงภายหลังว่าพนักงานไม่ได้ป่วยจริงจึงติดต่อแจ้งให้กลับมาทำงาน
แต่พนักงานก็ไม่กลับมาทำงานตามคำสั่ง อย่างนี้ก็ถือว่าพนักงานคนนั้นละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร
แถมยังโดนหนังสือตักเตือนเรื่องการแจ้งลาป่วยเท็จอีกต่างหากนะครับ
6.
พนักงานลาโดยไม่ชอบแล้วยังหยุดงาน
เช่น ตามระเบียบของบริษัทแจ้งว่าต้องยื่นใบลาพักร้อนล่วงหน้าต่อผู้บังคับบัญชาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์แล้วจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสียก่อน
แต่พนักงานกลับยื่นใบลาพักร้อนวันนี้แล้ววางไว้บนโต๊ะหัวหน้าโดยให้มีผลหยุดพักร้อนในวันรุ่งขึ้นแล้วหายไป
5 วัน อย่างนี้ก็ถือว่าพนักงานละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรนะครับ
เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัท ซึ่งบริษัทมีสิทธิไม่อนุมัติการลาในครั้งนี้จึงถือเป็นการละทิ้งหน้าที่
(ขาดงาน) โดยไม่มีเหตุอันสมควรครับ
จากตัวอย่างข้างต้น
ปัญหาการตีความจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างรู้และเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองและมีการสื่อสารที่ดีต่อกัน
เช่นลูกจ้างมีเหตุจำเป็นต้องหยุดงานก็บอกกล่าวนายจ้างให้เขาได้รับรู้เหตุผลความจำเป็นและทำตามระเบียบของบริษัท
ในขณะที่นายจ้างก็ต้องไม่เขี้ยวไม่แล้งน้ำใจจนเกินไปเมื่อลูกจ้างมีเหตุจำเป็นมาขอลาหยุด
ถ้าลูกจ้างคอยแต่จะจ้องหาวันโดดงานอยากได้เงินเดือนเยอะ ๆ แต่ไม่อยากจะมาทำงานอู้ได้เป็นอู้ โดดงานได้เป็นโดดอย่างงี้ก็ถือว่าลูกจ้างเอาเปรียบบริษัทมากเกินไปไหม
ในขณะที่ฝ่ายนายจ้างก็ใจร้ายกับลูกจ้าง เช่น
เขามาขอลาหยุดเพื่อไปดูแลลูกที่ป่วยแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาลก็ยังไม่ยอมอนุญาต
แถมบอกอีกว่า “คุณไม่ใช่หมอหรือพยาบาลนี่ คุณไปเฝ้าลูกคุณก็ทำอะไรไม่ได้หรอกเสียเวลางานเปล่า
ๆ เพราะฉะนั้นพี่ไม่อนุญาตให้ลาไปเฝ้าลูกคุณหรอกกลับมาทำงานดีกว่า!!” (ผมเคยเจอคำพูดแบบนี้ด้วยตัวเองมาแล้วนะครับ)
อย่างงี้มันก็ใจจืดใจดำกับลูกน้องมากเกินไปไหมล่ะ?
เพราะต่างฝ่ายต่างขาดคำว่า
“ใจเขา-ใจเรา” อย่างนี้แหละครับถึงได้ต้องมีคดีไปให้ศาลท่านตัดสินหรือต้องมาตีความกันวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทั้งนายจ้างและลูกจ้างลองคิดทบทวนแล้วลองปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้นเพื่อลดปัญหาแรงงานสัมพันธ์จะได้ทำงานกันอย่างมีความสุขใจทั้งสองฝ่ายจะดีกว่าไหมครับ
?
……………………………