เมื่อท่านได้ทราบสไตล์ของคนทั้ง 4 ประเภทคือ
D I S C ไปในตอนที่แล้วผมขอนำผังในตอนที่แล้วกลับมาให้ดูอีกครั้งเพื่ออธิบายเพิ่มดังนี้ครับ
จากผังข้างต้นท่านจะเห็นได้ว่ารูปแบบของคนทั้งสี่แบบจะอยู่ในแกนสี่แกน
อธิบายเพิ่มได้ว่าคนในแบบ D
และ C นั้นมักจะมีสไตล์ที่อิงเหตุผล(Thinking)
เป็นหลักจึงมักจะมีความคิดเป็นระบบ มีที่มาที่ไป
ในขณะที่คนในสไตล์ S และ
I ก็จะมีแนวโน้มที่มีสไตล์ที่อิงอารมณ์หรือความรู้สึก (Feeling)
มากหน่อย
นี่เป็นสไตล์ในแนวแกนตั้งนะครับ
คนสไตล์ S และ
C จะมีส่วนที่คล้ายกันก็คือต้องการอะไรที่ตอบได้ด้วยการสัมผัสทั้งห้า
คือ ต้องเห็นได้ด้วยตา ฟังมากับหู จมูกได้กลิ่น รับรสด้วยลิ้น
สัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสที่ชัดเจนจึงจะพอใจ ดังนั้นคนสไตล์ S และ C จึงเป็นสไตล์ที่ต้องมีข้อมูลข้อเท็จจริงมายืนยันถึงจะยอมรับ
ในขณะที่คนในแบบ D และ
I มักจะใช้สัญชาติญาณหรือลางสังหรณ์ที่ฝรั่งเรียกว่า Six
senses หรือสัมผัสที่หก มากกว่าพวก S หรือ C
พูดง่าย ๆ ว่าพวก D พอเวลาจะตัดสินใจอะไรมักจะใช้ลางสังหรณ์หรือความน่าจะเป็นแล้วตัดสินใจเลย
(ด้วยความใจร้อนของตัวเองเป็นทุนเดิม) โดยมีเหตุผลในใจอยู่แล้ว
ซึ่งข้อดีก็คือจะฉับไวทันใจ แต่ข้อเสียคือขาดความรอบคอบ ถ้าตัดสินใจถูกก็ดีไป
แต่ถ้าตัดสินใจผิดก็จะมีผลกระทบตามมาให้แก้กันต่อไปอีก
หรือพวก I เวลาตัดสินใจก็ใช้อารมณ์เป็นทุนเดิม
แถมมีลางสังหรณ์เข้ามาช่วยอีกแต่ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นก็คือพวก I นี่ตัดสินใจโดยใช้ลางสังหรณ์แถมขาดข้อมูลและรายละเอียดนี่สิครับจะทำให้คนพวก
I มักจะมีปัญหาที่เกิดตามมาหลังจากการตัดสินใจอยู่เรื่อย ๆ
ในขณะที่คนสไตล์ S ตัดสินใจโดยใช้อารมณ์เป็นพื้นฐาน
แต่ทุกอย่างจะต้องมีที่มาที่ไป ต้องพิสูจน์ได้ชัดเจน จึงเป็นลักษณะของคนแบบ S
ที่ต้องการความแน่นอน เป็นขั้นเป็นตอนก่อนจึงถูกมองว่าทำงานช้าตอบสนองช้าเพราะมัวแต่ทำงานตามขั้นตอนตามสไตล์ของเขายังไงล่ะครับ
ส่วนคนแบบ C จะตัดสินใจโดยมีเหตุผลเป็นทุนเดิม
และต้องการการข้อมูลที่จะพิสูจน์ได้อย่างมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน จึงทำให้คนแบบ C
ต้องมีความรอบคอบระมัดระวัง
และเชื่อในหลักฐานที่เห็นได้ชัดมากกว่าการใช้ความรู้สึก
หรือลางสังหรณ์หรือการคาดการณ์แบบลอย ๆ
จากตารางที่ผมแสดงให้ท่านดูข้างต้นจึงจะเห็นว่ารูปแบบของคนที่อยู่ในเส้นทะแยงมุมของกันและกันจึงเป็นอุปนิสัยหรือพฤติกรรมที่ตรงกันข้าม
เช่น C
จะตรงกันข้ามกับ I และ D จะตรงกันข้ามกับ S ดังนั้นหากคนในแบบ D มาพบกับ S หรือ C มาพบกับ I
แล้วล่ะก็มักจะเกิด “ศรศิลป์ไม่กินกัน”
ดังนั้นจากที่ผมเล่าให้ท่านฟังมาทั้งหมดนี้จึงจะพอเป็นแนวทางให้ท่านได้ทราบเพื่อทำความเข้าใจกับท่านสำหรับให้ท่านได้เข้าใจคนในแบบที่ไม่เหมือนท่าน
ซึ่งจะทำให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้คนรอบข้างได้ดียิ่งขึ้น
ผมอยากจะย้ำตรงนี้นะครับว่า ไม่มีรูปแบบใดที่ดีกว่ารูปแบบใด
หรือคนในรูปแบบใดที่เป็นรูปแบบที่ดีที่สุด เพราะในแต่ละสังคม ในงานแต่ละประเภท
ในสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ย่อมต้องการคนในรูปแบบที่เหมาะสมแตกต่างกันไป
ในองค์กรของท่านก็เช่นเดียวกัน
ย่อมประกอบด้วยคนสี่รูปแบบใหญ่ ๆ ตามที่ผมเล่าให้ฟังมานี้เหมือนกัน ซึ่งท่านจะเห็นได้ว่าในแต่ละประเภทของงานบางงาน
เช่น งานที่ต้องการคนที่คิดสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ อาจต้องการคนในแบบ I
ในขณะที่ถ้าท่านที่เป็นคนในแบบ D
หรือ C หากต้องไปทำงานหรืออยู่ในสังคมดังกล่าวก็อาจจะเกิดความอึดอัดกับสภาพแวดล้อมแบบนั้น
จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำความเข้าใจสไตล์ของคนเพื่อปรับตัวเพื่อให้เข้ากับผู้คนรอบข้างเพื่อลดความเครียดลงยังไงล่ะครับ
บางท่านอาจจะมีคำถามว่า “งั้นในหน่วยงานของฉันก็หาคนที่เป็นแบบเดียวกับฉันเข้ามาทำงานดีกว่าน่ะสิ
จะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันเพราะจะได้ทำงานไปทิศทางเดียวกัน”
แหม ! ท่านเล่นหาคนแบบ “มองตาก็รู้ใจ” เชียวครับ
จริงอยู่ครับหากท่านทำงานกับคนที่มีลักษณะสอดคล้องกับท่านแล้ว
ความขัดแย้งอาจจะน้อยลงเพราะมีวิธีคิดและวิธีการทำงานคล้าย ๆ กัน
แต่จะดีหรือครับที่ท่านไม่ต้องการมุมมองที่แตกต่าง
?
ดังนั้นเราจึงต้องการคนสไตล์ที่ต่างจากเรามาคอยติงคอยเตือนสติไม่ให้เราใช้สไตล์หลักของเราให้มากจนเกินไปจนควบคุมไม่ได้
เหมือนรถที่มีเครื่องยนต์ที่ดีก็ต้องการเบรคที่สามารถหยุดรถเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุด้วยเช่นเดียวกัน
ตอนต่อไปเรามาว่ากันในรายละเอียดของ D I S C กันต่อนะครับ
……………………………