ใครสักคนเคยบอกไว้ว่าตำแหน่งคือหัวโขนเป็นสิ่งชั่วคราวเมื่อถึงเวลาก็ต้องถอดวาง
การเปรียบเทียบแบบนี้ผมเข้าใจว่าคนในสมัยก่อนคงจะดูการแสดงโขนที่แต่ละตัวใส่หัวเป็นพระ
เป็นยักษ์ เป็นลิง เป็นเสนาอำมาตย์ ฯลฯ
เมื่อแต่ละตัวสวมหัวโขนแล้วก็ต้องแสดงไปตามบทบาทของตัวเอง ซึ่งคนที่สวมหัวโขนแต่ละตัวก็จะมีบทบาทและอำนาจที่แตกต่างกันไป
แล้วก็ต้องออกฤทธิ์ออกเดชแสดงอำนาจให้สมบทบาทตามที่ตัวเองได้รับมา
กลับมาในชีวิตจริงในการทำงานคนเราก็จะได้รับหัวโขนมาสวมในตำแหน่งต่าง
ๆ เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งคนงาน,
พนักงาน, วิศวกร, ผู้จัดการ, VP, SVP, EVP, MD, CEO ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าหัวโขนต่าง ๆ
เหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรเป็นคนกำหนดแต่งตั้งให้กับคนที่องค์กรเห็นว่า “เหมาะสม”
เมื่อมีหัวโขนแน่นอนว่าต้องมีอำนาจตามมาด้วย
และมีคำกล่าวหนึ่งบอกเอาไว้ว่าเมื่อมีอำนาจ..ก็ต้องใช้อำนาจ
หัวโขนและอำนาจจึงเป็นของคู่กัน
ถ้าใครที่สวมหัวโขนแล้วมีสติรู้อยู่และเตือนสติตัวเองเอาไว้เสมอ ๆ
ว่าหัวโขนที่สวมอยู่นี้ไม่จีรัง ไม่คงทน วันหนึ่งเราก็จะต้องถอดหัวโขนนี้ออกแล้วอำนาจก็จะหมดไป
ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้วก็จะมีสติใช้อำนาจที่มีในทางที่เหมาะที่ควร
เร็ว-ช้า-หนัก-เบา ตามความเหมาะสม ไม่ลุแก่อำนาจ
ไม่มองว่าคนที่สวมหัวโขนในศักดิ์ที่ต่ำกว่าเป็นที่ด้อยกว่าเรา
และให้เกียรติในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานกัน รู้จักคำว่า “ใจเขา-ใจเรา” และที่สำคัญคือ
“ไม่ลืมตัว”
เมื่อถึงวันที่คน
ๆ นี้ถอดหัวโขนออกไม่ว่าจะเป็นการลาออกไปอยู่ในองค์กรอื่น
หรือครบวาระการเกษียณอายุก็จะสามารถถอดวางหัวโขนได้อย่างมีความสุขพร้อม ๆ กับยังมีเพื่อนฝูงมีพี่น้องที่เคยร่วมงานกันมาให้มานัดพบกินข้าวเฮฮากันได้เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นหัวหน้าลูกน้องหรือเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้เสมอ
แต่....
ถ้าใครก็ตามที่ได้หัวโขนมาสวมหัวแล้วคิดว่าหัวโขนนี้จะติดหัวเราตลอดไป
แล้วก็ออกฤทธิ์ออกเดชใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างไม่สนใจว่าจะถูกต้องหรือไม่
แถมมองคนรอบข้างที่สวมหัวโขนใบเล็กกว่าคือคนที่ด้อยกว่าและฉันคือเจ้านายและเริ่มมีพฤติกรรมแบบ
“เจ้านาย” มีวาจาเป็นอาวุธ มีดาวพุธเป็นวินาศ จุดเดือดต่ำฟิวส์ขาดง่าย
อารมณ์ร้ายโวยวายเสียงดัง ลูกน้องทำดีไม่เคยจำ แต่พอทำพลาดก็ไม่เคยลืม ฯลฯ
ผมเคยมีเพื่อนที่สมัยยังเป็นพนักงานอยู่ด้วยกันก็สนิทสนมกันดี
แต่พอได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตขึ้นมาก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจจนเพื่อน
ๆ ก็ค่อย ๆ จางหายไปและไม่ได้ติดต่อกันอีก
ทุกวันนี้หัวหน้าผู้บริหารองค์กรที่ยังคงยึดแน่นยึดติดอยู่กับหัวโขนและอำนาจอย่างที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
แต่ก็แปลกที่ผมเคยเจอคนที่เป็นผู้บริหารระดับกลางมานั่งบ่นเรื่องของหัวหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงให้ผมฟังในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
แต่แล้วอีกไม่นานลูกน้องของผู้บริหารระดับกลางคนนี้ก็มาบ่นว่าหัวหน้าของเขามีพฤติกรรมเดียวกับผู้บริหารคนนี้เคยบ่นเอาไว้ไม่มีผิด
แสดงว่าคนบางคนไม่เคยคิดที่จะเก็บเอาประสบการณ์มาสอนใจตัวเองบ้างเลยนะครับ
ทำไมผมถึงเขียนเรื่องหัวโขนกับอำนาจ?
เพราะอยากจะให้คนที่เป็นลูกน้องของคนติดหัวโขนได้มองเอาไว้เพื่อเตือนสติตัวเราเองว่าในวันที่เราสวมหัวโขนและมีอำนาจ
เราเคยรู้สึกยังไงกับคนแบบนี้เพื่อที่เราจะได้ระมัดระวังไม่ให้ตัวเราหลงไปติดกับหัวโขนแบบไม่รู้จักวาง
และก็ขอให้กำลังใจกับคนที่มีหัวหน้าที่ยังยึดติดหัวโขนและการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องให้หาทางออกให้เจอโดยเร็วนะครับ
ผมขอนำกลอนบทหนึ่งที่เคยอ่านแล้วชอบมากแต่ไม่ทราบว่าท่านผู้ใดแต่งเอาไว้จึงต้องขออภัยที่ไม่ได้บอกเครดิตที่มา
และขออนุญาตผู้แต่งนำมาเพื่อเผยแพร่เป็นคติสอนใจและเป็นประโยชน์กับสาธารณะด้วยครับ
"อันหัวโขน
เขามีไว้ ใส่ครอบหัว
มิใช่ตัว เราจริงจัง ดังที่เห็น
เขามีบท กำหนดแจ้ง แสดงเป็น
เมื่อเลิกเล่น อย่าหลงผิด คิดว่าเรา
มิใช่ตัว เราจริงจัง ดังที่เห็น
เขามีบท กำหนดแจ้ง แสดงเป็น
เมื่อเลิกเล่น อย่าหลงผิด คิดว่าเรา
ทั้งหน้าพระ ยักษ์ลิง สิ่งสมมติ
ทั้งเดินหยุด รำเต้น เล่นตามเขา
หมดเวลา ลาโรง จงถอดเอา
หน้าโขนเก่า เก็บไว้ ใช้หน้าจริง
ในเวที ชีวิต มีมิตรไว้
มีน้ำใจ ไมตรี ดีกว่าหยิ่ง
เพื่อนสนิท มิตรสหาย ไว้พึ่งพิง
พระยักษ์ลิง ควรคิดย้อน สอนตัวเรา...."
....................................