ผมดูรายการประกวดร้องเพลงรายการหนึ่งที่มีคณะกรรมการตัดสินเป็นคนดังในวงการเพลงที่เรา
ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันดีว่าเป็นคนมีคุณภาพเหมาะสมที่จะเป็นคณะกรรมการในรายการนี้
วันที่ผมดูเป็นการแข่งขันรอบที่
3 ซึ่งเป็นรอบที่ผู้เข้าแข่งขันต้องแสดงทักษะความสามารถในการร้องเพลงให้เต็มที่เพราะจะมีที่ให้เข้ารอบไปนั่งเก้าอี้ได้เพียง
4 ที่เท่านั้นซึ่งกดดันผู้สมัครแต่ละคนอยู่ไม่น้อย
เพราะคนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ก็ต้องล้วนแล้วแต่ “เป็นคนมีของ” ในระดับเทพ ๆ
กันแล้วทั้งนั้น
ปรากฎว่ามีผู้แข่งขันหญิงรายหนึ่งที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามานั่งก่อนหน้า
ถูกตัดสินให้ลุกออกไปจากเก้าอี้ที่ตัวเองผ่านเข้ามาได้ก่อน แล้วให้คู่แข่งขันอีกรายหนึ่งที่ร้องได้ดีกว่าเข้ามานั่งแทนที่
พิธีกรก็ตามไปสัมภาษณ์ผู้แข่งขันที่เสียเก้าอี้และต้องกลับบ้านไปว่ารู้สึกยังไง
แน่นอนอยู่แล้วครับว่าเธอก็ต้องรู้สึกเสียใจ
แต่สิ่งที่เธอตอบมาน่ะสิที่ทำให้เป็นสิ่งที่ผมอยากนำมาแชร์เล่าสู่กันฟังเพื่อให้เป็นข้อคิดเตือนใจในวันนี้
เธอตอบในทำนองที่ว่า
“....กรรมการยังไม่เห็นสิ่งที่เธอต้องการให้เห็น (คือความสามารถของเธอ)
อีกหลายอย่าง กรรมการตัดสินเธอเร็วไป เธอยังมีของที่จะปล่อยออกได้มากกว่านี้อีกในรอบต่อไป....”
ถ้าจะถามว่าผู้เข้าประกวดคนนี้มีความสามารถไหม
ก็ต้องตอบว่าไม่แพ้คนอื่นหรอกครับ
แต่สิ่งที่ทำให้แพ้คนอื่นคือ “วิธีคิด”
หรือ “ทัศนคติ” ครับ
เพราะเธอ
“คิด” ว่าในรอบนี้ฉันโชว์แค่นี้ก็พอแล้ว รอบต่อไปฉันจะจัดหนักกว่านี้ และอาจจะคิดว่าถ้ารอบนี้ปล่อยของออกมาหมดแล้วเดี๋ยวรอบหน้าไม่มีอะไรมาโชว์เพราะนี่คือสุด
ๆ ของฉันแล้ว
ในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นปล่อยของ
ปล่อยพลัง ปล่อยแสงกันเต็มที่ไม่มีกั๊ก
ผู้สมัครคนที่ปล่อยของเต็มที่ก็เลยได้เข้ารอบไปแทนที่เธอ
แถมพูดต่อว่ากรรมการเสียอีกว่าตัดสินเธอเร็วเกินไป?
แต่ถ้าเธอคนนี้คิดใหม่ว่า....
ในรอบนี้ฉันจะปล่อยของให้เต็มที่
ปล่อยให้สุด ๆ ให้กรรมการร้องว๊าว..และตัดสินใจเลือกเราเอาไว้ก่อน เดี๋ยวรอบหน้าค่อยว่ากันใหม่
เรียกว่าทำทุกรอบให้เป็นเหมือนรอบสุดท้ายอยู่เสมอ
ถึงจะตกรอบไปก็จะไม่เสียดายเพราะนี่คือรอบที่เราแสดงความสามารถถึงที่สุดที่เรามีอยู่ในตัวแล้ว
อย่าดูถูกศักยภาพในตัวเองว่าถ้าวันนี้ปล่อยของหมดแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้
คนทุกคนจะมีความสามารถในตัวเองมากกว่าที่ตัวเองคิดไว้เสมอครับ
เพียงไม่เอาความคิดประเภทนี้มากดความสามารถของตัวเองเอาไว้เท่านั้นแหละ
เพราะใครมาดูถูกเราสักเท่าไหร่
ไม่แย่เท่าเราดูถูกตัวเราเอง
จริงไหมครับ?
และถ้าตกรอบก็อย่าไปมัวเสียเวลาคิดโทษกรรมการ
โทษนั่นนี่ หรือแม้แต่โทษตัวเอง สู้เอาเวลาไปคิดทบทวนตัวเองดูว่าวันนี้เราผิดพลาดตรงไหนเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้ในโอกาสหน้าในเวทีอื่นต่อไป
จากเวทีประกวดมาสู่ชีวิตจริง....
ทุกวันนี้เราได้แสดงศักยภาพความสามารถที่เรามีออกมาเต็มที่แล้วหรือยัง
หรือเรายังกั๊กความสามารถเอาไว้เหมือนกับผู้เข้าแข่งขันรายนี้ ?
ใครที่ชอบพูดว่า “ก็ได้เงินเดือนแค่นี้จะให้ทำอะไรกันมากกว่านี้ล่ะ”
ถ้ายังคิดและพูดอย่างนี้ชีวิตคงจะก้าวหน้าไปได้ยากครับ
เพราะมันก็จะเหมือนกับผู้เข้าแข่งขันที่กั๊กฝีมือเอาไว้อย่างที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้นนั่นแหละ
แต่ถ้าพัฒนาตัวเองและโชว์ศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่สร้างผลงานให้เต็มที่ให้เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้างโดยไม่ต้องไปเอาเงินเดือนมาเป็นตัวเปรียบเทียบกับงานแล้ว
คน ๆ นั้นก็จะมีออร่าเปล่งประกายออกมาให้เป็นที่ต้องการของคนรอบข้างอยู่เสมอครับ
ผมเชื่อว่าถ้าเราทำงานโดยเอางานเป็นตัวตั้ง
รักงานที่เราทำและทำงานที่เรารับผิดชอบอยู่ให้ดีที่สุดพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
เงินก็จะตามมาเองในที่สุด
แต่ถ้าใครเอาเงินเป็นตัวตั้งแล้วเอางานมาเทียบกับเงิน
แถมมีความคิดและความเชื่อคือ “จ่ายน้อยก็ทำน้อย จ่ายมากก็ทำมาก” ในที่สุดคน ๆ นั้นก็จะไม่มีทั้งงานและเงิน
ยิ่งถ้าเรามีความเชื่อว่าความสามารถของเรามีเท่านี้แหละไม่มีอะไรที่เราจะทำได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
เราก็จะทำได้เท่าที่เราเชื่อ เพราะเราไปเอาความเชื่อแบบนี้มาโปรแกรมสมองของเราแบบนั้น
แต่ถ้าเราเชื่อว่าเรายังมีความสามารถที่จะสร้างสรรค์หรือทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่
เราก็จะคิดหาทางขวนขวายพัฒนาตัวเองและดึงเอาความสามารถและศักยภาพที่ยังมีอีกมากมายออกมาแสดงให้คนรอบข้างได้เห็นอยู่เสมอ
ๆ ตราบที่เรายังไม่คิดว่า “นี่คือที่สุดของความสามารถของเราแล้ว”
ตราบนั้นเรายังมีโอกาสได้ไปต่ออยู่เสมอ
เพราะคนทุกคนจะมีความสามารถมากกว่าที่เราคิดเอาไว้เสมอ....
คนที่จะพิสูจน์คำ
ๆ นี้ไม่ใช่ใคร..คือตัวของเราเองนั่นแหละครับ
…………………………………