ผมเคยเขียนเรื่อง “การขึ้นเงินเดือนประจำปีไม่ใช่ความก้าวหน้า” (ใครอยากจะอ่านเรื่องนี้ก็ไปเสิร์ชคำ
ๆ นี้ในกูเกิ้ลนะครับ) เพื่ออยากจะให้คนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนได้เข้าใจธรรมชาติของเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีโดยเฉลี่ยของบริษัทต่าง
ๆ ว่ามันอยู่ที่ประมาณปีละ 5 เปอร์เซ็นต์มาเกินสิบปีแล้ว
ซึ่งการขึ้นเงินเดือนประจำปีในอัตราประมาณนี้ก็จะทำให้คนเข้ามาใหม่มีเงินเดือนใกล้เคียงหรือสูงกว่าคนเก่าในที่สุด
เพราะความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจภายนอกบริษัทมีมากกว่าการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท
ผมยกตัวอย่างง่าย
ๆ ให้ท่านเห็นว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้
เมื่อ
1 มกราคม 2560 ที่ผ่านมามีประกาศเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำที่บริษัททั้งหลายจะต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำจาก
300 เป็น 310 บาท
ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คือประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ
ขึ้นเงินเดือนประจำปีโดยเฉลี่ยกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ?
โดยเฉลี่ยก็คือ 5 เปอร์เซ็นต์ก็ใกล้เคียงกันปีนี้หรือปีที่ผ่าน
ๆ มาก่อนหน้านี้อย่างที่ผมบอกไปแล้วข้างต้นนั่นแหละครับ !
ได้ขึ้นเงินเดือน 5 เปอร์เซ็นต์
แต่อัตราเงินเฟ้อในบ้านเราประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์
ก็เท่ากับได้ขึ้นเงินเดือนจริง ๆ ประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์
ในขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกบริษัทปรับขึ้นมาประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
เท่ากับการขึ้นเงินเดือนประจำปีสูงกว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ+ค่าครองชีพแค่
1
เปอร์เซ็นต์ !
นี่ยังไม่รวมความเปลี่ยนแปลงภายนอกบริษัทคือการปรับเงินเดือนภายนอกบริษัทแบบแรง
ๆ อย่างเมื่อปี 2555 ที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดที่สูงมากคือ
ปรับจาก 215 เป็น 300 บาทคือปรับขึ้นประมาณ
40 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคนที่จะเข้าทำงานใหม่
ซึ่งการปรับที่รุนแรงขนาดนี้ยิ่งมีผลกระทบต่อคนทำงานประจำ
(ที่เป็นคนเก่าทำงานมาก่อน) สูงมาก และเป็นปัญหาในระบบค่าตอบแทนทั้งระบบที่มีผลกระทบกับบริษัทต่าง
ๆ เรียกว่าที่ขึ้นเงินเดือนกันมาปีละ 5 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยแทบไม่มีความหมายสำหรับคนเก่าที่ทำงานมาก่อนเลยเพราะคนใหม่เข้ามาก็ได้เงินเดือนเกินคนเก่าไปแล้ว
ท่านคงเห็นภาพได้ชัดเจนแล้วนะครับว่าทำไมการขึ้นเงินเดือนประจำปีไปเรื่อย
ๆ ปีละครั้งแล้วในที่สุดก็จะทำให้คนที่ไม่สามารถจะพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าได้รับการ
Promote
หรือได้รับการปรับเงินเดือนเป็นพิเศษเนื่องจากมีผลงานมีความสามารถที่มักจะเรียกกันว่า
Talent จึงจะถูกคนเข้ามาใหม่มีเงินเดือนจี้หลังหรือแซงไปในที่สุด
ถ้าจะถามว่า
“แล้วคนเก่าที่ทำงานมาก่อนควรจะแก้ปัญหานี้ยังไง ?”
ก็ตอบได้ว่าถ้าไม่อยากให้คนใหม่เงินเดือนแซงเราก็ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ครับ
1.
ท่องเอาไว้เสมอว่า
“ความมั่นคงและเงินเดือนขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง”
2.
หันกลับมาทบทวนดูว่าตัวเรามีขีดความสามารถ (Competency) ในเรื่องไหน มีความเก่งความถนัดในเรื่องอะไร
เรามีผลงานอะไรที่เป็นจุดขายหรือสามารถต่อยอดในสิ่งเหล่านี้บ้างและฝ่ายบริหารมองเห็นความสามารถหรือคุณค่าต่าง
ๆ เหล่านี้ในตัวของเราบ้างหรือไม่
3.
ถ้าฝ่ายบริหารมองเห็นความสามารถในตัวเราก็ควรจะต้องมีแผนในการปรับเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษหรือมีการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งเพื่อให้เราได้มีโอกาสได้แสดงความรู้ความสามารถหรือพัฒนาความรู้ความสามารถของเราให้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งการปรับเงินเดือนเป็นพิเศษ
หรือการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งดังกล่าวก็จะตามมาด้วยการปรับเงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปให้เหมาะสมกับความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นและรักษาคนเก่ง+ดีเอาไว้
ถ้าบริษัทไหนยังไม่คิดวางแผนที่จะรักษาพนักงานที่เก่ง ๆ ดี ๆ
เอาไว้ก็จะต้องเสียคนเก่งเหล่านี้ไปในที่สุดอย่างแน่นอนแหละครับ
4.
ถ้าฝ่ายบริหารมองไม่เห็นความสามารถที่มีอยู่
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามอย่าไปเสียเวลาคิดวนเวียนซ้ำซากเลยว่าทำไมหัวหน้าหรือฝ่ายบริหารถึงไม่เลื่อนตำแหน่งให้เราหรือเราไม่ดีตรงไหน
ฯลฯ ถ้ามั่นใจว่าเราก็เป็นคนมีของ (หมายถึงคนที่มีความรู้ความสามารถมีผลงาน) ก็คงจะต้องมองหาทางเดินใหม่ที่เหมาะตรงกับความสามารถที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่
(ถ้ายังอยากจะเป็นลูกจ้าง) หรือไปทำธุรกิจ (ที่ตรงกับความสามารถ) ของตัวเองซึ่งแน่นอนว่าเงินเดือนหรือรายได้ควรจะต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
เรียกว่าถึงเวลาที่เรือเล็กต้องออกจากฝั่งแล้วล่ะครับ
!
นี่แหละครับจะเป็นวิธีแก้ปัญหาให้หลุดจากวงจรเงินเดือนของคนใหม่ไล่แซงคนเก่าที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ได้ทั้งหมด
แต่ถ้าเรายังอยู่ไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ใน Comfort Zone ไม่ขยันไม่พยายามหรือไม่แม้แต่จะเริ่มต้นพัฒนาตัวเองให้ดีมากขึ้นกว่านี้แล้วคงจะโทษใครไม่ได้นอกจากต้องโทษตัวเองที่ทำตัวเป็นกบในหม้อต้มน้ำที่อยู่ในหม้อน้ำ
(อยู่ใน Comfort zone ในบริษัท) ตั้งแต่น้ำเย็นจนน้ำเดือดและสุกคาหม้อต้มในที่สุด
!
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมพบว่าคนที่มีของจะเป็นคนที่องค์กรอื่น
ๆ ต้องการตัวอยู่เสมอ ไม่เคยตกงาน หรือถ้าตกงานก็ไม่นานนักเดี๋ยวก็จะมีคนติดต่อให้ไปร่วมงานพร้อมทั้งเสนอตำแหน่งและเงินเดือนที่จูงใจ
ที่สำคัญก็คือวันนี้เราได้พัฒนาตัวเองให้เป็นคนมีของอยู่ในตัวที่ทำให้มีคนสนใจและต้องการดึงเราไปร่วมงานบ้างแล้วหรือยังล่ะครับ
………………………………..