คำว่า “เลิกจ้าง”
ที่เราได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านในหน้าหนังสือพิมพ์ในระยะนี้คงจะบอกได้ว่าเป็นกระแสที่หลาย
ๆ คนอกสั่นขวัญแขวนไม่ว่าจะเป็นคนที่เป็นพนักงานลูกจ้าง
หรือคนที่เป็นนายจ้างหรือบริษัทก็ตามต่างก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
เพราะเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็คงไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนทั้งนั้น ถึงแม้ว่าทั้งเรา ๆ
ท่าน ๆ ไม่อยากจะได้ยินได้ฟังคำ ๆ นี้ก็ตาม
ผมก็ยังอยากจะให้ท่านได้ทำความเข้าใจกับคำ ๆ
นี้เอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันเอาไว้ก่อน
เพื่อจะได้เป็นแนวคิดเผื่อมีคนมาขอคำปรึกษาหารือจะได้ช่วยให้ความกระจ่างได้ในระดับหนึ่งก็ยังดี
สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อไหร่
?
เมื่อมีการจ้างงานก็ต้องมีการสิ้นสุดการจ้างงานด้วยเช่นเดียวกัน
คล้ายกับคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกร้างรา” ใช่ไหมครับ อยู่ที่ว่าการสิ้นสุดการจ้าง
หรืองานเลี้ยงที่เลิกร้างราไปนั้นจะเป็นการสิ้นสุดหรือการเลิกราที่ดีหรือไม่อย่างไร
เรามาดูกันนะครับว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดกันเมื่อไหร่กันบ้าง
ซึ่งการสิ้นสุดของสัญญาจ้างนั้น ท่านว่ามีอยู่ 3 วิธีคือ
1.
เมื่อนายจ้างบอกเลิกจ้าง
หรือทางฝ่ายองค์กรเป็นผู้บอกเลิกจ้างพนักงานหรือลูกจ้าง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมากมายหลายหลากเช่น
-
บริษัทประสบวิกฤติขาดทุน,
ขาดสภาพคล่องทางการเงินต้องปิดกิจการ
-
บริษัทนำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือเครื่องไม้ใหม่
ๆ เข้ามาผลิตสินค้าแทนแรงงานคน จึงทำให้ต้องลดคนลงไปบ้างส่วน หรือลดไปเป็นส่วนใหญ่
-
พนักงานปฏิบัติงานไม่ดีไม่เป็นที่พอใจตามที่บริษัทต้องการ
ทำงานไม่ได้ตาม KPI
-
พนักงานมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
-
การเกษียณอายุตามระเบียบของบริษัท
-
ฯลฯ
เหตุผลดังที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนี่แหละครับที่มักจะเป็นสาเหตุที่นายจ้างหรือบริษัทเป็นผู้บอกเลิกจ้างพนักงานหรือลูกจ้างได้
สรุปง่าย ๆ
ว่าการสิ้นสุดของสัญญาจ้างเกิดจากทางฝ่ายของนายจ้างหรือบริษัทเป็นผู้บอกเลิกจ้างครับ
2.
เมื่อลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง
ในส่วนของลูกจ้างหรือพนักงานก็มีสิทธิในการบอกเลิกสัญญาจ้าง
ได้ด้วยการเขียนใบลาออกแล้วส่งให้กับหัวหน้างานหรือส่งให้กับนายจ้างนั่นเองครับ ส่วนสาเหตุของการบอกเลิกการจ้างจากทางฝั่งของลูกจ้างก็เช่น
-
ได้งานใหม่
-
ไปเรียนต่อ
-
ไปประกอบอาชีพส่วนตัว
-
ฯลฯ
ซึ่งเมื่อลูกจ้างเขียนใบลาออกและระบุวันที่มีผลลาออกวันไหน
ก็จะมีผลเมื่อนั้นทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้บริษัทอนุมัติการลาออกแต่อย่างใด
แม้ว่าบางบริษัทอาจจะมีกฎระเบียบบอกไว้ว่าให้พนักงานยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน
และต้องให้ฝ่ายบริหารอนุมัติการลาออกเสียก่อนจึงจะลาออกได้
แต่ถ้าจะว่ากันตามกฎหมายแรงงานแล้ว ถือวันที่ลูกจ้างระบุไว้ในใบลาออกเป็นสำคัญ
(แต่ลูกจ้างที่ดีควรจะเขียนใบลาออกวันนี้ให้มีผลวันพรุ่งนี้ไหมนี่คงต้องคิดให้ดีนะครับ)
3.
เมื่อสัญญาจ้างครบกำหนดระยะเวลา เช่น
บริษัท BBB
ทำสัญญาจ้างนายสัมฤทธิ์เข้าทำงานตั้งแต่วันที่
1 พฤษภาคม 2558 ถึงวันที่ 30 เมษายน
2559 เป็นระยะเวลา 1 ปี
เมื่อนายสัมฤทธิ์ ทำงานไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2559 พอวันรุ่งขึ้น (1 พฤษภาคม 2559) ก็ไม่ต้องมาทำงานกับบริษัทอีก โดยที่บริษัทก็ไม่ต้องแจ้งเลิกจ้าง
และนายสัมฤทธิ์ก็ไม่ต้องเขียนใบลาออก
แต่การจ้างงานนี้จะสิ้นสุดไปโดยสัญญาจ้างที่ระบุระยะเวลาไว้ดังกล่าว
อย่างนี้ถือว่าการจ้างงานนี้สิ้นสุดลงด้วยสัญญาที่มีระยะเวลาชัดเจนแน่นอนครับ
!
แต่ปัญหาของการเลิกจ้างนั้นมักจะเกิดจากข้อ
1 เป็นหลักเสียมากกว่าครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลิกจ้างแบบไม่มีเหตุผล
หรือไม่มีปีมีขลุ่ย หรือได้แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้า
เรียกว่าวันร้ายคืนร้ายก็เรียกพนักงานมารับหนังสือเลิกจ้างแล้วให้เก็บของไปเลย
หรือเช้าวันรุ่งขึ้นพนักงานอาจจะมาทำงานตามปกติแต่พอมาถึงหน้าโรงงานก็พบประกาศ “ปิดโรงงาน” อะไรทำนองนี้เสียมากกว่า
ซึ่งหากนายจ้างหรือบริษัททำแบบนี้ก็จะทำให้ลูกจ้างหรือพนักงาน
“ช็อค” ได้ง่าย ๆ จริงไหมครับ โธ่
ก็ไม่มีการบอกกล่าวให้รู้ตัวกันล่วงหน้าเพื่อทำจิตทำใจกันเลยจะให้เขายิ้มอยู่ได้ยังไงล่ะครับ
เพราะแต่ละคนก็มีภาระที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดู หรือมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
กันทั้งนั้นนี่ครับ !
หากนายจ้างเลิกจ้างพนักงานโดยที่พนักงานไม่มีความผิดล่ะ
?
ในกรณีที่นายจ้างหรือบริษัทเลิกจ้างพนักงานที่ไม่ได้กระทำความผิดนั้น
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานได้คุ้มครองลูกจ้างไว้ตามมาตรา 118 (ไปหาอ่านได้ในกฎหมายแรงงานนะครับ)
ขึ้นอยู่กับว่าลูกจ้างทำงานกับบริษัทมากี่ปี ซึ่งสูงสุดคือได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย
300 วัน สำหรับลูกจ้างที่ทำงานมาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
กรณีไหนบ้างที่นายจ้างเลิกจ้างแล้วไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา
118
?
พอผมเล่ามาถึงตรงนี้คงจะมีหลายท่านสงสัยแล้วกระมังครับว่า
“แล้วมีไหมที่บริษัทหรือนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ?”
มีครับ
ก็กรณีที่ลูกจ้างหรือพนักงานกระทำความผิดเข้าข่ายมาตรา 119 ของกฎหมายแรงงาน
(ไปหาอ่านเพิ่มเติมเอานะครับว่ามีความผิดร้ายแรงอะไรบ้าง)
จากที่ผมแชร์มาทั้งหมดนี้ก็อยากจะให้เห็นว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างนั้นจะเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะเป็นการบอกเลิกจากฝั่งนายจ้างหรือฝั่งลูกจ้างก็ตาม
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาจ้างซึ่งกันและกันได้เสมอ
จึงไม่ควรหลงไปยึดติดว่าฉันอยู่กับบริษัทที่มั่นคงแล้วฉันจะมั่นคงตามบริษัทไปด้วย
แต่ความมั่นคงที่แท้จริงอยู่กับตัวของแต่ละคนที่จะต้องสร้างคุณค่าสั่งสมความรู้ความสามารถในตัวเองให้คนอื่น
(หรือองค์กรใดก็ตาม)
เห็นคุณค่าในตัวของเรามากกว่าการเอาตัวเราไปผูกอยู่กับความมั่นคงขององค์กรโดยไม่พัฒนาคุณค่าในตัวเราให้เพิ่มขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป
เพราะ “คนที่จำเป็น”
คือคนที่องค์กรยังต้องการอยู่เสมอ
แต่ “คนไม่จำเป็น” สำหรับองค์กรก็มักเป็นคนที่ถูกเลิกจ้างในที่สุดแหละครับ
:-)
…………………………………………