วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ท่านรู้กฎหมายแรงงานมาก-น้อยแค่ไหน ?

            มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า.... “ประชาชนจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้” แปลกแต่จริงที่วันนี้เรื่องของกฎหมายใกล้ตัวที่สุดสำหรับคนทำงานไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างก็คือกฎหมายแรงงานนั้น กลับยังดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับหรือเป็นแดนสนธยาก็ปานนั้น ผมยังได้ยินได้ฟังอยู่ทุก ๆ วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นายจ้างทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงานบ้าง หรือลูกจ้างก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันถูกหรือมันผิดกฎหมายแรงงานอยู่

            ดังนั้นวันนี้เราลองมาทดสอบความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงานกันแบบง่าย ๆ ดีไหมครับ ไม่ว่าจะท่านจะเป็นนายจ้าง หรือจะเป็นลูกจ้างก็ตาม ท่านลองอ่านคำถามต่อไปนี้แล้วขีดถูกหน้าข้อที่ท่านเห็นว่าถูกและกากบาทหน้าข้อที่ท่านเห็นว่าผิด เดี๋ยวเรามาดูกันว่าท่านจะตอบถูกหรือผิดกันสักกี่ข้อ

          แต่....อ๊ะๆ  ๆ ๆ ๆ ซื่อสัตย์กับตัวเองนะครับ ผมอยากให้ท่านตอบจากความเข้าใจของตัวเองโดยไม่ต้องไปเปิดดูตัวบทกฎหมายนะครับ ถ้าทำอย่างงั้นผมจะถือว่าท่านยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานเลย

          เอาล่ะครับถ้าพร้อมแล้ว..เริ่ม....

1.      กฎหมายแรงงานมีโทษสูงสุดคือปรับไม่เกิน 200,000 บาท ไม่มีโทษจำคุก

2.      นายจ้างสามารถเก็บเงินค้ำประกันการเข้าทำงานกับลูกจ้างทุกตำแหน่งงานได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย หากลูกจ้างไม่มีเงินมาวางค้ำประกันนายจ้างอาจให้ลูกจ้างหาบุคคลมาค้ำประกันการทำงานได้

3.      บริษัทมีระเบียบว่าการยื่นใบลาออกต้องยื่นล่วงหน้า 30 วัน หากลูกจ้างลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบนี้ บริษัทมีสิทธิยึดเงินค้ำประกันการทำงาน ถ้าลูกจ้างยื่นใบลาออกในวันนี้มีผลในวันพรุ่งนี้บริษัทก็สามารถยึดเงินค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างรายนี้ได้ตามระเบียบ

4.      กรณีที่ในสัญญาจ้างงานระบุว่า “ถ้าหากพนักงานมีผลการปฏิบัติงานในระหว่างการทดลองงานไม่เป็นที่น่าพึงพอใจและถูกประเมินให้ไม่ผ่านการทดลองงาน บริษัทมีสิทธิเลิกจ้างและไม่คืนเงินค้ำประกันการทำงาน....” ดังนั้นหากพนักงานคนไหนไม่ผ่านการทดลองงาน บริษัทก็สามารถยึดเงินค้ำประกันการทำงานได้ตามสัญญาเพราะถือเป็นสภาพการจ้างที่ตกลงกันแล้วและเซ็นชื่อในสัญญาทั้งสองฝ่ายแล้ว

5.      บริษัทมีระเบียบเรื่องการรูดบัตรลงเวลามาทำงานอยู่ว่า “ห้ามพนักงานรูดบัตรลงเวลาแทนกัน หากพนักงานฝ่าฝืนจะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเพราะถือเป็นการทุจริต บริษัทจะเลิกจ้างพนักงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชยทันที....” วันหนึ่งชวนพิศฝากชวนชมให้รูดบัตรแทนในตอนเย็นเพราะชวนพิศจะต้องไปหาลูกค้านอกบริษัทในช่วงบ่ายกลับมารูดบัตรไม่ทัน บริษัทจับได้จึงสามารถเลิกจ้างทั้งสองคนทันทีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงตามระเบียบที่บริษัทประกาศไว้แล้ว ถือว่าบริษัทนี้ทำถูกต้องแล้วเพราะทั้งสองคนทุจริตรูดบัตรแทนกันจริง

6.      การเรียกปากเปล่าให้มาทำงานด้วยกันยังไม่ถือว่าเกิดสภาพการจ้างงาน เพราะสภาพการจ้างจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้ทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรที่นายจ้างและลูกจ้างได้เซ็นสัญญากันแล้วเท่านั้น

7.      หากบริษัททำสัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราวโดยมีวันเริ่มสัญญาคือ 1 มิถุนายน 2559 ถึง 31 พฤษภาคม 2560 โดยมีเงื่อนไขในสัญญาว่าถ้าลูกจ้างชั่วคราวมีผลงานดีบริษัทจะพิจารณาต่อสัญญาไปอีก 1 ปี แต่ถ้าผลงานไม่ดีบริษัทจะสงวนสิทธิ์ไม่ต่อสัญญา และจะเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือค่าบอกกล่าวล่วงหน้าใด ๆ ซึ่งลูกจ้างชั่วคราวก็เซ็นชื่อรับทราบในสัญญานี้แล้ว เมื่อถึงวันที่ 31 พฤษภาคม  2560 หากลูกจ้างชั่วคราวรายใดผลงานไม่ดี บริษัทก็สามารถเลิกจ้างไม่ต่อสัญญาโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า กรณีนี้ถือว่าบริษัทแห่งนี้ได้ทำถูกต้องตามสัญญาจ้างแล้ว

8.      บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับพนักงานที่ถูกประเมินผลว่าไม่ผ่านทดลองงานและอายุงานยังไม่เกิน 120 วัน

9.      เหตุผลที่บริษัทไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับพนักงานที่ไม่ผ่านทดลองงานตามข้อ 8 คือสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาทดลองงานเอาไว้ว่าไม่เกิน 120 วัน ถือเป็นสัญญาจ้างที่มีระยะเวลาชัดเจนแน่นอน

10.   มานะผู้จัดการแผนกจัดซื้อไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาเพราะบริษัทมีระเบียบว่าพนักงานที่มีตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปถือว่าเป็นระดับบริหารจะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าพนักงานปฏิบัติการ และมีค่าตำแหน่งแล้วจึงไม่ได้รับค่าล่วงเวลา

11.   กรณีเลิกจ้าง นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้าง, ค่าล่วงเวลา, ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างภายใน 7 วันนับแต่วันที่เลิกจ้าง

12.   ชัยชนะอายุงาน 5 ปีเศษ ๆ ได้รับเงินเดือน 23,000 บาท และได้รับค่าวิชาชีพเดือนละ 2,000 บาท มีผลการปฏิบัติงานตกต่ำมากไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายบริษัทจึงแจ้งเลิกจ้าง ฐานในการคำนวณค่าชดเชยของชัยชนะคือ 23,000 บาท เนื่องจากตามกฎหมายแรงงานให้ใช้ฐานเงินเดือนสุดท้ายมาใช้ในการคำนวณ

13.   จากข้อ 12 บริษัทก็ต้องใช้ฐานเงินเดือน 23,000 บาทมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาของชัยชนะด้วยเช่นเดียวกัน

14.   นายเก่งกาจสมัครใจเข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนดโดยบริษัทจะจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย นายเก่งกาจมีอายุงาน 7 ปีเศษ ๆ ปัจจุบันเงินเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ได้รับค่าตำแหน่งอีกเดือนละ 5,000 บาท ดังนั้นหากบริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานตามกฎหมายแรงงานคือค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วันทำงานหรือ 6 เดือน เท่ากับ 180,000 บาท

15.   บริษัทมีระเบียบเรื่องวันหยุดพักผ่อนประจำปีว่า หากพนักงานไม่ยื่นใบลาพักร้อนในปีใดถือว่าพนักงานสละสิทธิ์ลาพักร้อนในปีนั้นโดยไม่มีการสะสม ลัดดามีสิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปี 10 วัน แต่ในปีที่ผ่านมาลัดดาไม่ได้ยื่นใบลาพักร้อนกับหัวหน้าเลย ดังนั้นหากลัดดาจะขอให้บริษัทจ่ายเป็นเงินค่าลาพักร้อนที่ไม่ได้ใช้สิทธิในปีที่แล้ว 10 วัน บริษัทสามารถปฏิเสธการจ่ายค่าลาพักร้อนของลัดดาได้ เนื่องจากลัดดาสละสิทธิ์ดังกล่าวเองตามระเบียบการลาพักร้อนของบริษัท

16.   บริษัทมีระเบียบว่า “สิทธิในการลาพักร้อนจะถูกยกเลิกเมื่อพนักงานยื่นใบลาออก” ดังนั้นเมื่อมณีรัตน์ยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วันตามระเบียบบริษัทและมีวันลาพักร้อนเหลืออยู่ 5 วัน มณีรัตน์จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ลาพักร้อนได้ และบริษัทก็ไม่ต้องจ่ายค่าลาพักร้อนในส่วนที่เหลืออีก 5 วันนี้ให้กับมณีรัตน์ เพราะสิทธิการลาพักร้อนถูกยกเลิกไปแล้วตามระเบียบของบริษัท

17.   ขจีนุชเป็นเลขานุการได้เงินเดือน ๆ ละ 20,000 บาท ได้ค่าภาษาญี่ปุ่นเพราะต้องติดต่อชาวญี่ปุ่นเดือนละ 4,000 บาท ฐานที่บริษัทใช้ในการคำนวณค่าล่วงเวลาของขจีนุชคือ 20,000 บาท

18.   กรณีที่พนักงานมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และจะต้องเกษียณอายุตามระเบียบของบริษัท บริษัทไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้กับพนักงานที่เกษียณอายุ

19.   บริษัทจ่ายเงินเดือนโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินเดือนพนักงานทุกสิ้นเดือน บริษัทต้องการจะเลิกจ้างนายยอดชายที่ทำงานไม่ดี ผลงานตกต่ำ ขาดความรับผิดชอบในงาน ซึ่งบริษัทได้แจ้งเลิกจ้างนายยอดชายในวันที่ 2 มิถุนายน และมีผลเลิกจ้างวันที่ 3 มิถุนายน ในกรณีนี้บริษัทจะต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้นายยอดชาย 1 เดือนตามกฎหมาย

20.   บริษัทไม่ต้องออกหนังสือรับรองการทำงานให้กับพนักงานที่ทุจริตลักขโมยทรัพย์สินของบริษัทที่ถูกเลิกจ้างไปแล้ว เนื่องจากพนักงานดังกล่าวกระทำความผิดร้ายแรง

21.   นางสาวสมใจยื่นใบลาออกวันที่ 10 กันยายน ให้กับหัวหน้างาน โดยในใบลาออกระบุวันที่มีผลคือ 11 กันยายน (วันรุ่งขึ้น) ซึ่งตามระเบียบของบริษัทระบุว่าหากพนักงานจะยื่นใบลาออกจะต้องยื่นล่วงหน้า 30 วันและต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสียก่อน มิฉะนั้นบริษัทจะถือว่าพนักงานขาดงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ดังนั้นเมื่อนางสาวสมใจไม่มาทำงานตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน บริษัทจึงสามารถเลิกจ้างนางสาวสมใจด้วยสาเหตุ “ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่ 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร” ได้ตามระเบียบ และกรณีนี้ถือว่าไม่ใช่การลาออก

22.   หากบริษัทมีระเบียบว่า “ถ้าพนักงานไม่ลาออกตามระเบียบของบริษัทคือยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน บริษัทสามารถหักเงินเดือนงวดสุดท้ายของพนักงานที่ทำผิดระเบียบนี้ได้เพราะถือว่าพนักงานฝ่าฝืนระเบียบทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย....” จากกรณีข้อ 19 บริษัทจึงสามารถหักเงินเดือนนางสาวสมใจตั้งแต่วันที่ 1-10 กันยายนได้ตามระเบียบนี้

23.   ค่าจ้างหมายถึงเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ส่วนค่าตำแหน่ง, ค่าครองชีพ, ค่าวิชาชีพ, ค่าภาษา ฯลฯ ถือเป็นเงินที่บริษัทจ่ายให้เป็นพิเศษตามคุณสมบัติที่บริษัทต้องการ

24.   หากบริษัทขึ้นเงินเดือนประจำปีให้กับพนักงานในปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว ถือว่ามีสภาพการจ้างไม่เป็นคุณต่อลูกจ้างเพราะหลักของกฎหมายแรงงานคือการขึ้นเงินเดือนประจำปีของลูกจ้างจะต้องไม่ลดลงจากปีที่ผ่านมา

25.   ในสัญญาจ้างที่ระบุว่า “หากพนักงานทดลองงานมีผลการปฏิบัติงานไม่ได้ตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด บริษัทจะพิจารณาลดเงินเดือนลงได้ตามความเหมาะสมแต่ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์” ดังนั้นหากพนักงานทดลองงานคนใดมีผลการปฏิบัติงานไม่ผ่านเกณฑ์บริษัทสามารถลดเงินเดือนได้ตามสัญญาจ้างนี้

26.   ชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาและการทำงานในวันหยุดรวมกันต้องไม่เกินสัปดาห์ละ 24 ชั่วโมง

27.   พนักงานมีสิทธิลาป่วยได้ปีละ 30 วันทำงาน

28.   หนังสือตักเตือนมีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่นายจ้างออกหนังสือตักเตือน

29.   ให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไปจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และทะเบียนลูกจ้าง

30.   ลูกจ้างมีสิทธิลาทำหมันได้ตามกฎหมาย

เอาล่ะครับทดสอบความรู้กันเบา ๆ สัก 30 ข้อมีข้อไหนที่ท่านกาถูก หรือกาผิดบ้างครับ ?

สำหรับเฉลยในคำถามข้างต้นก็คือ....

ถ้าท่านใดกาผิดมาตั้งแต่ข้อ 1 จนถึงข้อ 29 และกาถูกอยู่ข้อเดียวคือข้อ 30 ก็นับได้ว่าท่านมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงานอยู่ในเกณฑ์ดีเลยดีเดียวครับ

ถ้าใครยังสงสัยในข้อไหนข้างต้นก็ Inbox มาถามได้ที่ tamrongsakk@yahoo.com นะครับ

ปล.ผมเสนอแนะให้ HR ของแต่ละบริษัทลองเอาแบบสอบถามนี้ให้ MD และผู้บริหารในบริษัทของท่านทำดูด้วยนะครับว่าผู้บริหารจะตอบได้ถูกต้องแค่ไหนเพื่อจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ตรงกันและเห็นความสำคัญของกฎหมายแรงงานด้วยครับ


………………………………………