พอได้ยินคำถามนี้ผมก็ได้แต่รำพึงในใจเบา
ๆ ว่า “เออหนอ..แทนที่บริษัทแห่งนี้จะเอาเวลาไปคิดทำทำมาหากินเพื่อให้เกิดดอกออกผลในทางธุรกิจทำให้มีกำไรเพิ่มมากขึ้นนี่
มันจะดีกว่ามาเสียเวลาคิดทำอะไรแบบนี้ไหม”
เพราะถ้าจะถามผมว่าสัญญาจ้างอย่างที่บอกมานี้ทำได้ไหม
?
คำตอบก็คือ “ทำได้ครับ”
แต่ถ้าถามว่า
“ถ้าทำสัญญาแบบนี้แล้วผลจะเป็นยังไง”
อยากรู้ก็อ่านตามมาเลยครับ....
1.
ที่ผมบอกว่าสัญญาแบบนี้บริษัทสามารถทำได้ก็เพราะบริษัทสามารถทำสัญญาขึ้นมาได้แล้วระบุเงื่อนไขเอาเลย
ตัวอย่างเช่น “บริษัทยินดีรับเข้าทำงานเป็นพนักงานโดยมีระยะเวลา 119 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1
มีนาคม 2559 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2559” นั่นแปลว่าเมื่อถึงกำหนดวันที่ 28
มิถุนายน 2559 พนักงานไม่ต้องมาทำงานกับบริษัทนี้อีกต่อไป
โดยพนักงานก็ไม่ต้องยื่นใบลาออกและบริษัทก็ไม่ต้องแจ้งเลิกจ้างโดยที่บริษัทก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
(เพราะอายุงานยังไม่ถึง 120 วัน) และค่าบอกกล่าวล่วงหน้าใด ๆ
เพราะถือว่าจบการทำงานไปตามสัญญาฉบับนี้ ซึ่งสัญญาจ้างประเภทนี้ภาษากฎหมายแรงงานจะเรียกว่า
“สัญญาจ้างแบบมีระยะเวลา” ครับ ภาษาคนทำงานมักจะเรียกว่า
“สัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราว”
2.
แต่ถ้าทำสัญญาตามข้อ
1 แล้วเกิดพนักงานคนนี้มีผลงานดี
ครั้นจะให้พนักงานคนนี้พ้นสภาพไปตามสัญญาก็เสียดายเพราะบริษัทจะต้องเสียเวลาหาคนใหม่เข้ามาทำงานแทนและมาเสียเวลาสอนงานกันใหม่อีก
บริษัทก็เลยอยากจะให้ทำงานต่อไปล่ะจะทำยังไงดี....
3.
คำตอบก็คือบริษัทแห่งนี้ก็ทำสัญญาจ้างขึ้นมาใหม่อีกฉบับหนึ่งโดยกำหนดวันเริ่มรับเข้าทำงานคือวันที่
28 มิถุนายน 2559
โดยไม่กำหนดวันสิ้นสุดของสัญญาจ้าง ซึ่งภาษากฎหมายจะเรียกว่า “สัญญาจ้างแบบไม่มีระยะเวลา”
ซึ่งก็คือสัญญาจ้างพนักงานประจำนั่นเอง
4.
ถ้าหากบริษัทไหนทำตามที่ผมบอกมาข้างต้น
(คือในข้อ 1 ถึงข้อ 3) แล้วสมมุติเกิดปัญหาขึ้นมาว่าเมื่อถึงวันที่ 1 เมษายน
2560 ในปีถัดมา (คือหลังจากรับมาเป็นพนักงานประจำแล้ว) พนักงานที่รับเข้ามาทำงานคนนี้เกิดเป็นคนที่มีปัญหาในภายหลังเช่น
ทำงานไม่ดี เกเร อู้งาน ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ บริษัทจะเลิกจ้างพนักงานคนนี้ก็เลยนับอายุงานตั้งแต่วันที่
28 มิถุนายน 2559 (คือนับวันเริ่มงานตามสัญญาจ้างฉบับที่
2) มาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยโดยจ่ายค่าชดเชยให้ 1 เดือน (ภาษาคนทำงานนะครับ
ถ้าอยากทราบภาษากฎหมายที่ถูกต้องก็ไปดูได้ในมาตรา 118 ของกฎหมายแรงงาน)
เพราะถือว่าพนักงานมีอายุงานยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่รับเข้าทำงานครั้งที่สอง
จะถูกต้องหรือไม่?
5.
คำตอบคือ
“ผิด” ครับ เพราะอายุงานของพนักงานคนนี้จะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่
1 มีนาคม 2559 คือเริ่มนับตั้งแต่สัญญาจ้างตอนทดลองงานถึงจะถูกต้อง
ดังนั้นอายุงานของพนักงานคนนี้คือ 396 วันหรือ 1 ปี 31 วัน ซึ่งบริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เขา 3
เดือน เพราะอายุงาน 1 ปีไม่เกิน 3 ปีจะต้องจ่ายค่าชดเชย 3 เดือน (ภาษาคนทำงาน) ตามมาตรา
118 ของกฎหมายแรงงานครับ
6.
พออ่านมาถึงตรงนี้บางท่านอาจจะถามว่า
“อ้าว..ทำไมถึงไม่เริ่มนับอายุงานตามสัญญาจ้างฉบับที่สองล่ะ?”
7.
คำตอบคือ
“ก็มันเกิดสภาพการจ้างแบบต่อเนื่องขึ้นนี่ครับ
เพราะเมื่อสัญญาฉบับที่หนึ่งครบระยะเวลาแล้วโดยหลักการที่ถูกต้องคือนายจ้างจะต้องไม่รับลูกจ้างคนนี้กลับเข้ามาทำงานอีก
ซึ่งในกรณีนี้เมื่อบริษัทแสดงเจตนารับพนักงานรายนี้กลับเข้ามาทำงานอีกครั้งโดยทำสัญญาต่อ
ก็แสดงเจตนาของบริษัทชัดเจนว่าต้องการรับกลับเข้าทำงานใหม่
จึงเกิดสภาพการจ้างแบบต่อเนื่องขึ้นซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว
อายุงานก็จะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่รับเข้าทำงาน (คือวันที่ 1 มีนาคม 2559) ตามสัญญาจ้างฉบับแรกครับ
ดังนั้นนี่ถึงได้เป็นคำตอบของผมในตอนต้นว่าถ้าจะถามผมว่า
“บริษัทจะทำสัญญาจ้างสองครั้ง (อย่างที่บอกมาข้างต้น) ได้ไหม”
ผมถึงตอบว่า “ได้ครับ”
และจะบอกต่อว่า
“ถึงทำไปก็ไม่มีประโยชน์และอย่าทำเลยครับ
เอาเวลาไปคิดทำมาหากินเรื่องอื่นจะดีกว่า” นอกจากการทำสัญญาทำนองนี้ไม่มีประโยชน์
ๆ
แล้วเรื่องที่สำคัญก็คือ
ความรู้สึกของพนักงานจะติดลบกับบริษัทอีกต่างหาก เพราะแค่ทำสัญญาจ้างแค่เริ่มต้นที่จะร่วมงานด้วยกันบริษัทก็ส่อเจตนาจะเอาเปรียบพนักงานตั้งแต่แรกอย่างนี้แล้ว
จะไปหวังให้พนักงานรู้สึกดีกับบริษัทหรือรักบริษัทได้ยังไงล่ะครับ
ย้ำอีกครั้งว่าบริษัทควรจะเอาเวลาไปทำมาหากินเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์กับบริษัทมากกว่านี้ดีกว่า
ดีไหมครับ ?
ฝากคติสอนใจไว้ว่า....
“เมื่อใหร่บริษัทคิดเล็กคิดน้อยกับพนักงาน..เมื่อนั้นพนักงานก็จะคิดเล็กคิดน้อยกับบริษัทเหมือนกัน”
ทำยังไงก็จะได้ยังงั้นแหละ
เพราะผลใด ๆ ที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุนำมาเสมอครับ
…………………………………