วันนี้ผมมีปัญหามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นอุทธาหรณ์สำหรับท่านอีกแล้วครับ เรื่องนี้มักจะเกิดขึ้นได้อยู่เสมอสำหรับหัวหน้างานที่ใจดีกับลูกน้องมากจนเกินไป
ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนลูกน้อง
หรือไม่กล้าตัดสินใจเมื่อลูกน้องทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็เกิดเรื่องบานปลายในเวลาต่อมา
ในบริษัทแห่งหนึ่งผู้บริหารฝากเด็กฝากเข้ามาทำงานอยู่ในหน่วยงานแห่งหนึ่ง
(ผมเคยเขียนเรื่อง “เด็กฝากเข้าทำงานจะจัดการยังไงดี”
ไปก่อนหน้านี้แล้วลองไปหาอ่านย้อนหลังใน Blog ของผมหมวดการบริหารงานบุคคลดูนะครับ)
ในระหว่างทดลองงาน
(บริษัทแห่งนี้มีระยะเวลาทดลองงานไม่เกิน 120 วัน) เด็กฝากคนนี้ลาป่วย 9
วันแต่ไม่ได้ลาป่วยติดกัน 9 วันนะครับ
แถมป่วยแบบไม่จริงอีกต่างหาก (เพื่อน ๆ
ร่วมงานบอกตรงกันว่าเด็กฝากคนนี้ติดเที่ยวกลางคืนเลยตื่นสาย) แต่หัวหน้าก็อนุญาตให้ลาป่วยทุกครั้ง
พนักงานคนนี้ขาดความตั้งใจในการทำงานเมื่อหัวหน้ามอบหมายงานอะไรให้ก็มักจะชักสีหน้าไม่ค่อยจะเต็มใจรับงาน
(เพราะชอบเล่นสมาร์ทโฟนในเวลางาน เล่นเฟซบุ๊คบ้าง ไลน์บ้าง ฟังหูฟังตลอดเวลา)
และเมื่อนำงานมาส่งก็ผิดพลาดบ่อย
แต่หัวหน้าของพนักงานคนนี้ไม่กล้าที่จะเรียกพนักงานคนนี้มาตักเตือนเพราะเกรงใจผู้บริหารที่ฝากมา
!
จนกระทั่งมาตรวจสอบพบภายหลังอีกว่าเด็กฝากคนนี้ทำเอกสารขอเบิกค่าล่วงเวลาโดยลงเวลาเกินจากที่ทำจริงโดยหัวหน้าก็เซ็นอนุมัติการเบิกแต่พนักงานในหน่วยงานยืนยันว่าเด็กฝากคนนี้กลับบ้านก่อนเวลาแถมในใบขอเบิกโดยให้เพื่อนรูดบัตรออกแทน
ซึ่งเข้าข่ายทุจริตโดยทำแบบนี้หลายครั้งแล้วและทาง HR ก็ตั้งคณะกรรมการวินัยสอบสวนเรื่องนี้และสรุปผลการสอบสวนว่าพนักงานทุจริตจริงมีมติไปถึงฝ่ายบริหารให้เลิกจ้าง
แต่ตัวเด็กฝากก็ยืนยันว่าตัวเองไม่ผิดเพราะหัวหน้าอนุมัติเรื่องทั้งหมดมาโดยตลอดให้ดูในเอกสารทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นใบขอทำล่วงเวลา,
ใบลาป่วย ฯลฯ ถ้าจะเลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้เธอตามกฎหมายแรงงาน
เป็นยังไงครับกับทั้งพฤติกรรมของเด็กฝากและหัวหน้างานรายนี้
?
ทางฝั่งของหัวหน้างานก็กลัวว่าถ้าไปตำหนิแตะต้องเด็กฝากคนนี้เดี๋ยวผู้บริหารที่ฝากเข้ามาจะไม่พอใจ
ในทำนองเดียวกันเด็กฝากคนนี้เห็นว่าหัวหน้าไม่ว่าอะไรก็เลยทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนในหน่วยงานไปเลย
ผมมีข้อคิดในเรื่องนี้จากประสบการณ์ของคนที่ทำงาน
HR อย่างนี้นะครับ
1.
ถ้าหัวหน้างานไม่ไป Feedback พฤติกรรมของเด็กฝากรายนี้ให้ผู้บริหารที่ฝากเด็กคนนี้เข้ามาให้ทราบเรื่องทั้งหมดนี้
ถามว่าผู้บริหารจะทราบไหมว่าเด็กที่ตัวเองฝากเข้ามามีพฤติกรรมที่ไม่ดีไม่เหมาะสมยังไงบ้าง
จากประสบการณ์ที่ผมเคยเจอเรื่องทำนองนี้มาก็คือเมื่อหัวหน้ารายงานให้ผู้บริหารที่ฝากเด็กคนนี้เข้ามาทราบเรื่อง
เขาก็เรียกให้เด็กคนนี้มาบอกให้เขียนใบลาออกไปเลยนะครับ แต่ถึงแม้ว่าหัวหน้างานรายงานให้ผู้บริหารทราบแล้วผู้บริหารไม่ทำอะไรเลยก็ยังดีกว่าไม่มีการ
Feedback ให้คนที่ฝากทราบจริงไหมครับ พูดง่าย ๆ คือถ้าไม่บอกเขาจะรู้ไหมครับว่าเด็กที่เขาฝากมามีพฤติกรรมเป็นยังไง
ดังนั้นบอกเขาดีกว่าไม่บอก
2.
ผมเคยเขียนบทความแชร์ประสบการณ์ไปในเรื่องการลาป่วยไปแล้วว่าเมื่อพนักงานลาป่วย
หัวหน้าไม่จำเป็นต้องอนุญาตให้ลาป่วยเสมอไปถ้าพนักงานไม่ได้ป่วยจริง
ซึ่งส่วนใหญ่พนักงานที่ลาป่วยปลอม ๆ ในลักษณะนี้มักจะอยู่ห้องพักหรืออยู่ที่บ้านไม่ไปโรงพยาบาลหรือคลินิกหรอกเพราะไม่ป่วยจริง
ดังนั้นหัวหน้าก็ควรไปเยี่ยม (หาพยานไปด้วย)
โดยไม่ให้พนักงานรู้ตัวล่วงหน้าสิครับ หากไปเห็นว่าไม่ได้ป่วยจริงหรือไม่ได้อยู่ที่ห้องพักก็ไม่อนุญาตและถือเป็นการขาดงานหัวหน้าสามารถออกหนังสือตักเตือนและไม่จ่ายค่าจ้างในวันที่พนักงานขาดงาน
(No
work no pay) ได้อีกด้วย
3.
หัวหน้างานคนนี้ก็มีข้อบกพร่องในการเป็นผู้บังคับบัญชาขาดภาวะผู้นำ
ไม่กล้าแก้ปัญหาไม่กล้าตัดสินใจ
ไม่กล้าแม้แต่จะว่ากล่าวตักเตือนลูกน้องเมื่อลูกน้องมีพฤติกรรมที่มีปัญหา
หัวหน้าประเภทนี้ลูกน้องบางคนจะรักจะชอบเพราะเป็น “หัวหน้าที่อยู่ในโอวาทลูกน้อง”
ลูกน้องชี้นกเป็นไม้ ลูกน้องบางคนขึ้นเสียงมาทีหัวหน้าจะหงอลงไปทันใดดูแล้วจะงง ๆ
ไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหน้าใครเป็นลูกน้องกันแน่
พอลูกน้องคนอื่นเห็นหัวหน้าไม่กล้าทำอะไรกับคนที่มีพฤติกรรมไม่ดีก็จะพลอยเอาอย่างตามไปด้วย
สุดท้ายหน่วยงานนั้นก็จะมีคนที่มาสายเป็นนิจ ลากิจเป็นประจำ ทำงานบ้างโดดบ้าง ฯลฯ
แหละครับ
4.
ผลจากพฤติกรรมในการบริหารจัดการของหัวหน้างานที่ไม่ดูแลการทำงานของลูกน้องรายนี้เลยทำให้เกิดการทุจริตขึ้น
ซึ่งในกรณีนี้หัวหน้าก็ควรจะต้องถูกดำเนินการทางวินัยในเรื่องความบกพร่องต่อหน้าที่ด้วยเช่นเดียวกัน
5.
พนักงานทดลองงานที่มีพฤติกรรมมาสาย,
ขาดงานโดยอ้างว่าป่วยบ่อย ๆ ในช่วงทดลองงาน,
ไม่ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายทำงานเพียงสักแต่ให้เสร็จ ๆ พ้น ๆ ไป,
ขาดความกระตือรือร้น ฯลฯ ผมมักจะเจอหัวหน้างานหลายคนจะใช้วิธี “ต่อทดลองงาน”
โดยบอกว่าให้โอกาสเด็กปรับปรุงตัวเพราะไม่อยากจะไปสัมภาษณ์หาคนใหม่และต้องมาเสียเวลาสอนงานกันใหม่อีก
แต่จากประสบการณ์ของผมแล้วพบว่าการต่อทดลองงานออกไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ
และในที่สุดปัญหาเดิม ๆ ก็จะวนเวียนกลับมาอีกสู้ตัดใจแจ้งผลให้ตัวพนักงานทดลองงานได้ทราบปัญหาข้อบกพร่องของตัวเขาแล้วอวยชัยให้พรให้น้องเขาไปประสบความสำเร็จในที่ทำงานแห่งใหม่และจากกันด้วยดีจะดีกว่าการดันทุรังต่อทดลองงานให้มีปัญหาต้องไปแก้กันต่อไปในอนาคต
จากเรื่องที่ผมแชร์มาทั้งหมดนี้เพื่ออยากจะให้เรื่องนี้เป็นกระจกเงาสะท้อนการบริหารจัดการของหัวหน้าทุกท่านว่าทุกวันนี้ท่านมีพฤติกรรมในการบริหารจัดการลูกน้องแบบไหน
และถ้าท่านเจอปัญหาอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้ท่านจะตัดสินใจแก้ปัญหายังไง
จะปล่อยปละละเลยเหมือนหัวหน้างานคนนี้หรือจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ได้บ้าง
เพราะนี่คือทักษะการบริหารทรัพยากรบุคคลในภาคปฏิบัติจริงของหัวหน้างานทุกคนที่จะต้องพบเจอและต้องตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาแต่ละกรณีที่แตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้หาไม่ได้จากในตำราแต่เกิดจากทักษะและประสบการณ์ทำงานจริงเป็นหลัก
ขอให้ท่านที่เป็นผู้บริหารตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกต้องนะครับ
…………………………………..