วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

คิดให้ดีก่อนจะย้ายใครมาเป็นผู้บริหารงาน HR

            ปัญหานี้เกิดขึ้นในบริษัทแห่งหนึ่งที่เคยรับคนนอกมาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลมาแล้วหลายคน แต่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เป็นคนนอกเหล่านั้นมักจะทำงานอยู่ได้ไม่นานนักแล้วก็ลาออกไป ก็เลยทำให้บริษัทแห่งนั้นแก้ปัญหาด้วยการย้ายผู้จัดการฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นคนเก่าและทำงานมานานแต่เป็นคนหมดไฟมาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแทนเพราะคิดว่าการย้ายผู้จัดการฝ่ายที่หมดไฟคนนี้มาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะเป็นคนเก่ามาดูแลงาน HR ซึ่งเป็นงานดูแลเกี่ยวกับพนักงานทั่ว ๆ ไป ยังไงเสียแกก็คงไม่ลาออกไปไหนเหมือนกับการจ้างผู้จัดการฝ่ายบุคคลคนนอกเข้ามาหรอก บริษัทจะได้หาคนอื่นมาเป็นผู้จัดการฝ่ายแทนคนที่หมดไฟคนนี้จะดีกว่า

            ฟังดูเผิน ๆ ก็ดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหมครับ ?

          แต่ผมอยากจะบอกว่าวิธีแก้ปัญหาแบบนี้กำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ในเวลาต่อมาแล้วล่ะครับ

            เพราะงาน HR ไม่ใช่มีแค่งาน “รับคนเข้า-เอาคนออก-บอกกฎการทำงาน-เซ็นเอกสารเป็นหลัก ฯลฯ” นะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่คนที่จะเป็นผู้บริหารในฝ่าย HR หรือแม้แต่คนในตำแหน่งอื่น ๆ ในงาน HR จะต้องรู้อีกไม่น้อย เช่น เทคนิคการสรรหาคัดเลือกบุคลากร, การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ, กฎหมายแรงงานและแรงงานสัมพันธ์, การพัฒนาพนักงาน ฯลฯ แถมยังมีงานที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับ “ความลับ” หลาย ๆ เรื่องทั้งความลับของพนักงานและของบริษัท เช่น....

-          การจ่ายเงินเดือนพนักงาน (Payroll) ทั้งบริษัทไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานทั้งหมด
-          ข้อมูลการปรับเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษให้กับพนักงาน รวมถึงการปรับเงินเดือนในกรณีต่าง ๆ เช่นการปรับเงินเดือนเมื่อเลื่อนตำแหน่ง, ปรับเพื่อหนีผลกระทบจากการปรับเงินเดือนพนักงานใหม่ ฯลฯ
-          ประวัติข้อมูลส่วนตัวของพนักงานไม่ว่าจะเป็นประวัติการทำงาน, ประวัติส่วนตัว, ประวัติปัญหาการตรวจสุขภาพ ฯลฯ
-          ประวัติเรื่องที่เกี่ยวกับโทษทางวินัย, การสอบสวน,  การถูกดำเนินการเรื่องเกี่ยวกับความผิด ฯลฯ
-          ความลับที่เกี่ยวกับรายงานการประชุมหรือความคิดเห็นของผู้บริหารที่เกี่ยวกับตัวพนักงานหรือผู้บริหารบางคนที่ควรระมัดระวังไม่นำไปบอกต่อ เช่น ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้บริหารหรือพนักงานแต่ละคนที่ได้รับการพิจารณาให้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งที่หากรู้ไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็อาจจะมีผลกระทบหลายอย่างตามมา
-          โครงสร้างเงินเดือนของบริษัทซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารค่าตอบแทนที่จะทำให้รู้ว่าบริษัทจ่ายให้กับผู้ที่ทำงานในระดับชั้นไหน ตำแหน่งอะไรเท่าไหร่บ้าง ฯลฯ
-          ผลการปฏิบัติงานที่มีความเห็นของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับเขียนความคิดเห็นเอาไว้ทั้งด้านบวกและด้านลบในแบบประเมิน
-          ฯลฯ

ที่ผมยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงแค่หัวข้อหรือหนังตัวอย่างบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับความลับของทั้งพนักงานและผู้บริหารในบริษัทซึ่งคนที่ทำงาน HR จะต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องนะครับ   ยังไม่รวมเรื่องปลีกย่อยอีกหลาย ๆ เรื่องที่เกี่ยวพันกับความลับเหล่านี้

            คราวนี้เมื่อบริษัทย้ายผู้บริหารฝ่ายอื่นมารักษาการ หรือแม้แต่มาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยที่บริษัทไม่ได้มองถึงคุณสมบัติที่สำคัญของผู้ที่จะมารักษาการหรือทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็คือ....

          “วุฒิภาวะ”

            เพราะพอผู้บริหารที่ขาดวุฒิภาวะเหล่านี้ได้เข้ามารู้มาเห็นความลับหรือเรื่องราวต่าง ๆ ในงาน HR ก็จะเริ่มเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือเอาลูกน้องในฝ่ายของตัวเองไปเปรียบเทียบกับพนักงานของฝ่ายอื่น และยังรวมไปถึงนำเอาเรื่องเหล่านี้ไปเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนพนักงาน, ลูกน้องชนิดแฉแต่เช้ายันเย็น ถ้าฉันรู้โลกต้องรู้ด้วย เช่น....

1. ทำไมพนักงานคนนั้นถึงได้เงินเดือนเยอะกว่าลูกน้องเรา (หรือเยอะกว่าตัวเรา) ทั้ง ๆ ที่ลูกน้องเราและตัวเราก็ทำงานเยอะกว่า โดยคิดเข้าข้างลูกน้องของตัวเอง และงานในฝ่ายตัวเองว่าทำมากกว่าคนอื่น ก็เลยรู้สึกไม่ยุติธรรม แล้วก็เอาไปพูดคุยปรับทุกข์กับลูกน้องเก่าในฝ่ายเดิม ลูกน้องก็เอาไปพูดต่อ ๆ กันไปจนกระทั่งเรื่องเงินเดือนของพนักงานในฝ่ายต่าง ๆ รั่วไหล เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และลามไปจนเกิดปัญหาเรียกร้องขอเพิ่มเงินเดือนจากพนักงานที่อยากได้เงินเดือนเท่ากับคนอื่นบ้าง และเกิดปัญหาในเรื่องแรงงานสัมพันธ์ในที่สุด

2. เอาโครงสร้างเงินเดือนของบริษัทมาวิพากษ์วิจารณ์กับลูกน้องและผองเพื่อน (ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ใช่คนทำโครงสร้างเงินเดือน ไม่รู้ที่มาที่ไปของคนที่ทำโครงสร้างเงินเดือนก่อนหน้านี้ว่าทำไมถึงออกแบบโครงสร้างเงินเดือนกันไว้แบบนั้น) แต่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวคิดมโนเอาเองว่าโครงสร้างเงินเดือนแบบนี้มันไม่ยุติธรรมไม่เหมาะสม ทำให้ตัวเองหรือลูกน้องเงินเดือนจะตันในอีกไม่นานก็เลยไม่อยากจะให้มีโครงสร้างเงินเดือนเลยไปพูดคุยปรับทุกข์กับลูกน้องหรือเพื่อน ๆ เพื่อหาแนวร่วม ซึ่งโครงสร้างเงินเดือนก็จะถูกเผยแพร่ออกไปภายในบริษัทและนอกบริษัทในที่สุด ซึ่งโครงสร้างเงินเดือนนี้ถือเป็นความลับที่สำคัญนะครับเพราะถ้าเปิดเผยออกไปสู่ภายนอกบริษัทก็จะทำให้คู่แข่งรู้นโยบายและกรอบในการจ่ายของบริษัทเราทั้งหมดและสามารถหาวิธีดึงคนเก่ง ๆ ที่มีฝีมือไปจากบริษัทเราได้ง่าย ๆ ครับ

3. เอาเรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงให้ความเห็นเกี่ยวกับพนักงานหรือผู้บริหารบางคนในที่ประชุม (ซึ่งเรื่องนี้ควรจะอยู่ในที่ประชุม) มาเปิดเผยมาเล่าให้คนที่ถูกวิจารณ์ฟังทำให้เกิดปัญหาความน้อยเนื้อต่ำใจกับคนที่ถูกผู้บริหารวิพากษ์วิจารณ์จนทำให้พนักงานหรือผู้บริหารเหล่านั้นตัดสินใจลาออก

4. ในการขึ้นเงินเดือนประจำปีก็แอบ “ยัดใส้” ใส่ตัวเลขขึ้นเงินเดือนให้กับลูกน้องคนโปรดในหน่วยงานเดิมของตัวเองบางคนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าปกติ โดยอาศัยจังหวะที่ผู้บริหารระดับสูงเผลอ เพราะเป็นคนทำข้อมูลและตัวเลขเองนี่ครับเรื่องพวกนี้ก็เลยทำได้ง่าย

จากที่แชร์มาข้างต้นนี่แหละครับ เลยอยากจะฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับฝ่ายบริหารที่กำลังคิดหาคนใน หรือใครสักคนมารักษาการหรือทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัท ได้ลองคิดทบทวนดูให้ดี ๆ ว่าคนที่ท่านคิดจะให้เขามารักษาการหรือมาทำงานนั้น

1. จะมารักษาการหรือทำงานแทนผู้จัดฝ่ายบุคคลนานแค่ไหน เขารู้ไหมว่างาน HR นี่ต้องทำอะไรหรือรับผิดชอบเรื่องอะไรบ้าง และที่สำคัญคือเขาอยากทำงานด้านนี้หรือไม่

2. มีงานที่เป็นความลับอะไรบ้าง หรือมีเรื่องอะไรที่ควรระมัดระวังหรือไม่มากน้อยแค่ไหน

3. ที่สำคัญคือคนที่จะมาแทนนั้น มี “วุฒิภาวะ” หรือไม่ มี EQ เป็นยังไง เป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นแถมเก็บความลับไม่อยู่ ถ้าฉันรู้โลกต้องรู้ด้วย แล้วชอบเอาไปเมาท์ประเภทแฉแต่เช้ายันเย็นหรือเปล่า

ผมก็เลยอยากจะฝากประสบการณ์ทำนองนี้เอาไว้สำหรับองค์กรที่กำลังคิดจะหาคนมาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลโดยการเอาคนในมาทำงานแทน คิดให้ดี ๆ คิดให้รอบ ๆ ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนตัดสินใจนะครับ

ที่สำคัญคือคงต้องมาแก้ไขกันที่สาเหตุด้วยว่าทำไมผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่บริษัทเคยรับเข้ามาถึงได้ทำงานไม่นานแล้วก็ลาออกไป อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น แล้วมาหาวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนี้เพื่อรับผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เขาเป็นมืออาชีพและมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับบริษัทของเราเข้ามาทำงานด้านนี้น่าจะดีกว่าจริงไหมครับ


………………………………..